มิงกะลาบา..คำทักทายแรกที่เราได้ยินเมื่อเดินทางมาถึง "ย่างกุ้ง" อดีตเมืองหลวงเก่าของประเทศพม่า ที่ปัจจุบันกลายเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญไม่แพ้เมืองหลวงของประเทศอย่างเนปิดอว์ แต่ถ้าให้พูดกันตรงๆแล้ว ย่างกุ้งดูจะเป็นอะไรที่คลาสสิคและมีเสน่ห์มากกว่า เพราะเมืองนี้เค้าร่ำรวยไปด้วยประวัติศาสตร์และความเป็นมาที่เก่าแก่ถึงกว่า 2,000 ปี เสมือนกับว่าวันวานยังคงเดินทางมาจนถึงวันนี้ ณ เวลาที่อดีตได้มาบรรจบกับปัจจุบัน วีถีชีวิตในแบบเก่าๆ อันเป็นรากเหง้าของย่างกุ้งยังคงไม่จางหายไปไหน แต่กลับหอมหวนชวนให้ออกไปค้นหามากยิ่งขึ้น
เอาเป็นว่าย่างกุ้งจะสวยงามน่าไปเยือนแค่ไหน ตามไปชมรีวิวด้วยกันเลยดีกว่า กับเมืองที่ได้ชื่อว่ามีอาคารเก่าแก่ในยุคโคโลเนียลมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
-----------
DAY 1
-----------
Fly Boutique to Yangon
การเดินทางครั้งนี้เราใช้บริการสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส สะดวกสบายด้วยบริการเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่เมืองย่างกุ้งทุกวัน วันละ 4 เที่ยวบิน เลือกเวลาเดินทางได้หลากหลายทั้งเช้า บ่าย เย็น ดึก ตอบโจทย์การเดินทางทั้งกับนักท่องเที่ยว และคนที่ต้องเดินทางมาทำงานเป็นประจำ พร้อมการบริการแบบ Full Service ครบจบทุกสิ่ง ทั้งบริการโหลดสัมภาระน้ำหนัก 20kg บริการเลือกที่นั่ง บริหารห้องรับรองผู้โดยสาร อาหารร้อน/เครื่องดื่ม และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่อย่างใด เรียกว่าเดินทางอย่างสะดวกสบายจนถึงย่างกุ้งได้อย่างบูทีคจริงๆ
แต่ถ้าจะให้แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวแบบเราๆ ขอเลืือกไฟลท์นี้เลย ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไฟลท์เช้าสุด และเดินทางกลับจากย่างกุ้งไฟลท์เย็นสุด เหมาะมากสำหรับทริปแบบ 3 วัน 2 คืน (ศ / ส / อา) ที่สามารถใช้เวลาเที่ยวเมืองย่างกุ้งได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ
ขาไป PG 701 BKK-RGN เวลา 08:45-09:40 น.
ขากลับ PG 704 RGN-BKK เวลา 18:20-20:15 น.
Blue Ribbon Lounge & Boutique Lounge
ห้องรับรองสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศแห่งใหม่ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ตั้งอยู่ที่บริเวณคองคอร์ด D ชั้น 3 (ตรงข้ามกับประตูขึ้นเครื่องหมายเลข D7) มีทั้งส่วนของห้องรับรอง Boutique Lounge (สำหรับชั้นประหยัด) และห้องรับรอง Blue Ribbon Lounge (ชั้นธุรกิจ และสมาชิก Flyer Bonus ชั้น Premier Member) ที่บอกเลยว่าดีงามมาก เพราะเพิ่งเปิดให้บริการสดๆร้อนๆเมื่อปลายปี 2017 ที่ผ่านมา มีให้บริการทั้งของว่าง เครื่องดื่มร้อน/เย็น และแน่นอนว่าข้ามต้มมัดอันเลื่องชื่อ
และพิเศษยิ่งขึ้นสำหรับห้องรับรอง Blue Ribbon Lounge ที่มีให้บริการอาหารร้อน หากมีเวลาแนะนำให้รีบมาถึงสนามบินแต่เนิ่นๆ จะได้มีเวลาเข้ามาสั่งเกี๊ยวกุ้งร้อนๆ กับกาแฟสักแก้วก่อนขึ้นเครื่องรับรองว่าฟิน นอกจากนั้นยังมีบริการห้องอาบน้ำ และเก้าอี้นวดด้วยนะ ใครมีเวลาก็มานอนนวดเล่นๆ ตอนรอขึ้นเครื่องได้
นอกจากนี้ ถ้าใครไม่ได้นั่งชั้นธุรกิจแต่ว่าเป็นสมาชิก AIS Serenade ระดับ Platinum/Gold ก็สามารถกดเพื่อรับสิทธิ์เข้าใช้บริการได้ฟรีเช่นกัน
- เซเรเนดแพลทินัม (1 หมายเลข / 1 ครั้ง / เดือน) - เซเรเนดโกล์ด (1 หมายเลข / 2 ครั้ง / ปี)
Blue Ribbon Lounge
Boutique Lounge
บริหารอาหารร้อน เครื่องดื่มร้อน/เย็น และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ระหว่างเที่ยวบิน
แค่เพียง 1 ชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่าท่าอากาศยานมิงกาลาดง กันแล้ว (เวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย 30 นาที) ใกล้ยังกับบินไปเที่ยวเชียงใหม่เลย
------------------------
รู้หรือไม่
นักท่องเที่ยวชาวไทย สามารถมาเที่ยวประเทศพม่าได้โดยไม่ต้องทำวีซ่าเป็นระยะเวลา 14 วัน
Feel Restaurant
เริ่มต้นสถานที่แรกกับร้านอาหารท้องถิ่นมากสาขาที่มีชื่อสั้นๆว่า Feel ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปทั่วเมืองย่างกุ้ง ร้านนี้รสชาติดี ราคาไม่แพง บางเมนูอาจถูกปากบ้าง ไม่ถูกปากบ้าง เพราะอาหารพม่าส่วนใหญ่ค่อนข้างมัน แต่เชื่อเถอะว่าคนไทยทานได้แน่นอน และที่สำคัญคือร้านนี้ดูแล้วสะอาด ไว้ใจได้ เหมาะกับการเป็นร้านอาหารเริ่มต้นสำหรับใครที่อยากจะลองสัมผัสกับรสชาติในความเป็นพม่าแท้ๆ ก่อนที่จะต้องไปเจออะไรที่ Advance มากกว่านี้
พูดภาษาพม่าไม่ได้ก็ไม่ต้องกังวล อยากสั่งเมนูอะไรก็ชี้ๆบอกพนักงานไปเลย เดี๋ยวเค้าตักให้ และค่อยไปจ่ายเงินทีเดียวตอนทานเสร็จ
เจดีย์โบตาทาวน์ / เทพทันใจ / เทพกระซิบ
หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สายบุญไม่ควรพลาด เพราะว่ามาที่เดียวได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวพม่าถึง 3 อย่างด้วยกัน ได้แก่ เจดีย์โบตาทาวน์ (Botataung Pagoda) เทพทันใจ และเทพกระซิบ ที่ตั้งอยู่ในจุดเดียวกันริมแม่น้ำย่างกุ้ง
โดยภายในของเจดีย์โบตาทาวน์นั้นเป็นที่ประดิษฐานของเส้นพระเกศาธาตุ ได้รับการประดับตกแต่งทางเดินภายในฐานของเจดีย์ด้วยสีทองอร่ามที่ชวนให้ตราตรึงใจผู้มาเยือนยิ่งนัก
------------------------
รู้หรือไม่
รองเท้าแตะเหมาะสมที่สุดในการเที่ยวประเทศพม่า เพราะที่นี่ไม่อนุญาตให้สวมรองเท้าเข้าวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จำเป็นต้องถอดทิ้งเอาไว้บริเวณทางเข้า ดังนั้นหากมาเที่ยวประเทศพม่า นอกจากรองเท้าแตะแล้ว แนะนำให้เตรียมทิชชู่เปียกเอาไว้สำหรับเช็ดทำความสะอาดเท้าเวลากลับขึ้นมาบนรถด้วย
ส่วนการแต่งกายควรแต่งชุดสุภาพ กางเกงขายาว / กระโปรงยาว หรือถ้าใส่ขาสั้นมาก็สามารถซื้อหรือเช่าโสร่งใส่ทับอีกทีก็ได้ แต่ซื้อไปเลยจะสะดวกกว่า ราคาไม่แพง เพราะเข้าหลายวัดจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเช่าหลายรอบ
ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะฝั่งซ้ายของเจดีย์โบตาทาวน์นั้นเป็นที่ตั้งขององค์พระพุทธรูปทองคำ ที่เมื่อมาถึงแล้วก็ควรไปกราบนมัสการกันสักครั้ง ส่วนด้านขวาก็เป็นที่ตั้งขององค์เทพทันใจที่ใครๆ ต่างก็รู้จักกันเป็นอย่างดีถึงความศักดิ์สิทธิ์ ที่เมื่อใครมาขออะไรแล้วต่างก็ได้รับสิ่งที่ขอสมปรารถนารวดเร็วทันใจดั่งชื่อเรียกนั่นเอง
พระพุทธรูปทองคำ
เทพทันใจ
และสุดท้ายที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนกับเจดีย์โบตาทาวน์ ก็คือที่ตั้งของเทพกระซิบ ที่หากใครต้องการขอสิ่งใดแล้ว ให้ไปกระซิบที่ข้างหูขององค์เทพกระซิบ แล้วจะได้สิ่งที่ขอสมหวังดังปรารถนา
เทพกระซิบ
Sule Pagoda
ย่างกุ้งถือได้ว่าเป็นเมืองหนึ่งที่มีการวางผังเมืองสวยงามแบบเป็นบล๊อคๆ คล้ายกับประเทศใหญ่ๆในยุโรป เนื่องจากในสมัยที่ยังเป็นเมืองขึ้นนั้นทางประเทศอังกฤษได้มาช่วยในการวางผังเมืองเอาไว้ให้ โดยมีเจดีย์สุเหล่เป็นจุดเริ่มต้นของกิโลเมตรที่ 0 ที่มีถนนใหญ่ 4 สายมาบรรจบกันที่เจดีย์แห่งนี้ จึงมีรถเมล์มากมายหลายสายมาจอดรับส่งผู้โดยสารกันที่บริเวณรอบวงเวียนอย่างคับคั่งตลอดทั้งวัน ซึ่งถ้าหากจะเปรียบให้เข้าใจง่ายๆ สถานที่ตั้งของเจดีย์สุเหล่ก็คงจะคล้ายกับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิบ้านเรานั้นเอง
ส่วนความสำคัญของเจดีย์สุเหล่นั้นถือได้ว่าเป็นเจดีย์ทรง 8 เหลี่ยมเก่าแก่อายุกว่าสองพันปี ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองชาวพม่ามาตั้งแต่ยุคสมัยที่ศาสนาพุทธเพิ่งเริ่มต้น หรือเรียกได้ว่าสร้างขึ้นมาก่อนที่จะมีเจดีย์ชเวดากองเสียอีก ส่วนบริเวณฐานรอบๆตัวเจดีย์ ก็จะมีพระประจำวัดเกิดให้ได้สักการะกันอีกด้วย
เจดีย์สุเหล่
ไหนๆ ก็ได้มาถึงใจกลางเมืองย่างกุ้งแล้ว แนะนำให้เดินเที่ยว หรือจ้างรถสามล้อถีบเที่ยวชมตึกรามบ้านช่องสไตล์อังกฤษยุคโคโลเนียลในบริเวณนี้กันต่อเลย เพราะตัวอาคารมีความเก่าแก่สวยงามมาก ผนวกกับได้สัมผัสวิถีชีวิตในแบบฉบับของคนพม่าแท้ๆ ที่หาดูที่ไหนไม่ได้ในบ้านเรา
ส่วนตอนบ่าย อากาศร้อนๆ แบบนี้ ก็ยังสามารถหาร้านกาแฟชิคๆ ในย่านตึกเก่าให้เลือกเข้าไปจิบชาพม่ายามบ่ายกันได้หลายที่เลยอีกด้วย
Novotel Yangon Max
ตลอด 2 คืนในพม่าของทริปนี้ เราเลือกพักกันที่โรงแรม Novotel Yangon Max จากเครือ Accor Hotels ที่ตั้งอยู่ในเมืองย่างกุ้ง กึ่งกลางระหว่างใจกลางเมืองและสนามบิน ที่ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินเพียงแค่ 20 นาทีก็ถึงแล้ว จะเรียกแท็กซี่หรือ Uber มาก็ง่ายทั้งคู่ นอกจากนั้นยังมีข้อดีอีกอย่างคือใกล้กับห้างสรรพสินค้า Junction Square ที่สามารถเดินไปช๊อปปิ้งหรือหาของกินได้ไม่ยาก ส่วนตัวโรงแรมนั้นก็ใหม่สวยงาม ครบครันทั้งสระว่ายน้ำ สปา ฟิตเนส บาร์ เรียกว่าสะดวกสบายดีมากเสียจนแทบจะลืมไปเลยว่าอยู่ประเทศพม่า
สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพัก
Welcome Set
ส่วนตอนเย็น เราเลือกที่จะไปชมวิวสวยๆ กันบน Roof Top ของทางโรงแรมที่ห้องอาหาร Le Cellier ที่ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่ เพราะสามารถมองเห็นวิวของเมืองย่างกุ้งได้สุดลูกหูลูกตา และที่สำคัญเลยคือ เห็นวิวเจดีย์ชะเวดากองจากบนนี้ได้ชัดมากๆ ค่อยๆจิบเครื่องดื่มไป ชมวิวพระอาทิตย์ตกจากบนนี้ไป เพอร์เฟคสุดๆ
Le Cellier Wine Bar & Restaurant
เจดีย์ชะเวดากองเมื่อเปิดไฟยามค่ำคืน
สำหรับมื้อค่ำในวันนี้ หลังจากชมวิวข้างบนเสร็จก็ไม่ขอออกไปไหนแล้ว ปิดท้ายกันที่ห้องอาหารจีน Royal Pavilion ของทางโรงแรมเลยแล้วกัน ซึ่งฝีมือเชฟอาหารจีนของที่นี่เด็ดทุกเมนูจริงๆ ถูกปากคนไทยอย่างเราๆแน่นอน แต่ที่ชอบที่สุดคงจะเป็นเมนูเป็ดปักกิ่งที่เชฟออกมาแล่และห่อให้ทานกันสดๆ เนื้อเป็ดนุ่ม ห่อกับแป้งร้อนๆ ทานคู่กับกับซอสรสชาติกลมกล่อมดีมาก ยังติดใจมาจนถึงวันนี้เลย ปิดท้ายค่ำคืนแรกในย่างกุ้งกันแบบพุงกางทุกคนเลยจริงๆ
-----------
DAY 2
-----------
วิวพระอาทิตย์ขึ้นจากโรงแรม
เรื่องอาหารเช้านั้นถือว่าดีงามตามท้องเรื่องของเชนโรงแรมใหญ่ มีครบทั้งแบบเวสเทิร์น และอาหารท้องถิ่นของพม่า ที่สำคัญคือยังมีซุ้มของอาหารญี่ปุ่นและอาหารไทยอีกด้วย เรียกว่าคนไทยอย่างเราๆมาพักไม่ต้องกลัวทานมื้อเช้าของทางโรงแรมไม่ได้แน่นอน ส่วนเครื่องดื่มที่ต้องสั่งเลยคือเมนูชาพม่า กลิ่นหอม หวาน อร่อยกลมกล่อมดีมาก
เช้าวันที่ 2 เราออกเดินทางจากเมืองย่างกุ้งมายังเมืองเล็กๆ ข้างเคียงที่ชื่อว่า "สิเรียม" เพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางแห่งแรกคือเจดีย์กลางน้ำเยเลพญา (Kyauktan Ye Le Pagoda) ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองย่างกุ้งราว 20 กิโลเมตร แม้ระยะทางอาจจะดูไม่ไกลมากถ้าเทียบกับบ้านเรา แต่ด้วยถนนหนทางของพม่าที่ค่อนข้างขลุขละ แถมเป็นถนนเลนเดียว จึงทำให้ต้องใช้เวลาเดินทางกว่า 1.30 ชั่วโมง
สำหรับเจดีย์กลางน้ำเยเลพญานั้นว่ากันว่ามีอายุกว่าพันปี ได้รับการสร้างขึ้นสมัยมอญเรืองอำนาจ ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำที่แม้จะเป็นช่วงฤดูน้ำหลากก็ไม่สามารถท่วมถึงตัวเจดีย์ได้ เมืองมาถึงแล้วก็หาซื้อตั๋วเรือข้ามฟากได้ไม่ยาก มีหลายสิบลำ เวลาขึ้นลงเรือก็จะมีเด็กชาวพม่ามาคอยช่วยให้บริการนักท่องเที่ยว แต่ถ้าเผลอไปให้ทิปคนไหนเข้าก็เตรียมใจเอาไว้หน่อย เพราะอาจจะโดนเพื่อนๆมารุมขอทิปเพิ่มกันได้
ตลาดบริเวณหน้าทางเข้าท่าเรือข้ามฟากไปเจดีย์กลางน้ำเยเลพญา
ใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึง 1 นาทีก็ถึงแล้ว
Min Lan Seafood
เสร็จจากที่เที่ยวแห่งแรกเราก็มุ่งหน้าเดินทางกลับตัวเมืองย่างกุ้ง ซึ่งถ้าบริหารเวลากันดีๆ จะสามารถกลับมาถึงเพื่อทานข้าวเที่ยงกันที่ย่างกุ้งได้พอดิบพอดี โดยร้านอาหารวันนี้ขอแนะนำเมนูซีฟู๊ดที่ร้านอาหาร Min Lan บอกเลยว่าร้านนี้รสชาติดี ราคาไม่แพง ทานอาหารทะเลสดๆ กันได้เต็มที่แบบกระเป๋าไม่ฉีก รสชาติถือว่าถูกปากคนไทย ยิ่งถ้าใครติดน้ำจิ้มซีฟู๊ดบ้านเรามาด้วยแล้วละก็ รับรองเกลี้ยงหมดจานแน่นอน
ข้อดีคือ รับทั้งเงินจ๊าด และเงินดอลลาร์สหรัฐ
ปูทะเลนึงร้อนๆ
เมนูกุ้งมังกรอบเนย
Bogyoke Market
ส่วนช่วงบ่าย ต้องมาละลายเงินจ๊าดกันที่นี่เลย Bogyoke Market หรือที่รู้จักกันดีในชื่อเดิมคือ ตลาดสก๊อต (Scott Market) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่างกุ้ง ไม่ไกลจากเจดีย์สุเหล่มากนัก เป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักช๊อปว่าสามารถหาซื้อของฝากขึ้นชื่ออย่างพวก สินค้าแฮนเมด เครื่องประดับ ของที่ระลึก แป้งทานาคา ชาพม่า ยาดมพม่า ได้จากที่ตลาดแห่งนี้ เรียกว่ามาที่เดียวจบ มีครบทุกสิ่ง รับทั้งเงินจ๊าด เงินดอลลาร์สหรัฐ หรือแม้แต่เงินบาทไทย ราคาก็ต่อรองกันได้ตามแต่ความสามารถ
แต่ถ้าใครไม่อยากเดินตลาดร้อนๆ ก็ลองไปเดินห้าง Junction City ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามถนนดูก็ได้ แอร์เย็นเดินช๊อปสบาย ราคาไม่ทิ้งกัน แต่บางอย่างถ้าต่อเก่งๆ ยังได้ราคาถูกกว่าเดินซื้อในตลาดจริงๆด้วยซ้ำ
วิถีชีวิตของคนพม่าที่สามารถพบเห็นได้ในตลาดสก๊อต
ภาพวาดจากฝีมือคนท้องถิ่นในตลาดสก๊อต
ช๊อปปิ้งเสร็จแล้ว อย่าลืมมาแวะชมความงามของโบสถ์ Holy Trinity Anglican Church ที่ตั้งอยู่ติดๆ กันกับตลาด Bogyoke Market
ภายในโบสถ์ Holy Trinity Anglican Church
Shwedagon Pagoda
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงไฮไลท์สำคัญของทริปนี้ที่ "เจดีย์ชเวดากอง" ศาสนสถานและสัญลักษณ์สำคัญของประเทศพม่า ที่กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าถ้าใครไม่ได้มาเยือนเจดีย์แห่งนี้ จะเรียกว่ามาไม่ถึงเมืองย่างกุ้งก็ย่อมได้ โดยตัวเจดีย์เป็นทรงระฆังคว่ำกสูงว่า 105 เมตร ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยแผ่นทองคำแท้รอบองค์ และส่วนยอดได้รับการประดับด้วยเพชรและทับทิมหลายพันเม็ด โดยภายในนั้นเชื่อกันว่าเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า
สำหรับช่วงเวลาที่ควรมาที่สุดคือช่วงเย็น เพระแน่นอนว่าอากาศไม่ร้อน เดินถอดรองเท้าได้สบาย แถมยังจะมีโอกาสได้ชมเจดีย์ชเวดากองทั้งช่วงฟ้าเปลี่ยนสี และตอนเปิดไฟแล้วอีกด้วย บอกเลยว่าคนละอารมณ์จริงๆ มาเวลานี้คุ้มค่าที่สุดแน่นอน และเชื่อเลยว่าอย่างน้อยๆ ทุกคนจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1-2 ชั่วโมง ในการเดินชมความงดงามของเจดีย์ชเวดากอง ที่เสมือนมีมนต์ขลังมาสะกดให้เราได้ดื่มด่ำไปกับจิตวิญญาณแห่งความเป็นพม่าจนเผลอลืมเวลากันเลยทีเดียว เพราะเผลอแป๊ปๆก็ฟ้ามืดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เสมือนราวกับว่าเจดีย์แห่งนี้มีชีวิต ที่ดึงดูดให้ผู้คนมากมายจากทั่วสารทิศให้หลั่งไหลกันเข้ามาไม่ขาดสาย จนอดไม่ได้ที่จะต้องขอนั่งนิ่งๆ เพื่อซึบซับช่วงเวลาดีๆ ณ สถานที่แห่งนี้เอาไว้
Le Planteur Restaurants
ขอปิดท้ายค่ำคืนวันนี้กันนี้ร้านอาหารฝรั่งเศสชื่อ Le Planteur ที่ตั้งอยู่ข้างทะเลสาบอินยาในตัวเมืองย่างกุ้ง ร้านนี้บรรยากาศดี เงียบสงบเป็นส่วนตัว ส่วนเรื่องของการตกแต่งร้านก็ออกมาในสไตล์ย้อนยุคเข้ากับบรรยากาศริมน้ำเป็นอย่างมาก จนเหมือนว่าหลุดออกมาจากเมืองย่างกุ้งยังไงยังงั้น ถ้าใครสนใจตามรอย แนะนำให้มาไวๆหน่อย จะได้มานั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ริมน้ำดูท้องฟ้าเปลี่ยนสี
ส่วนเรื่องของอาหารก็มีทั้งแบบ A la carte และ Course Menu แม้ราคาจะสูงหน่อย แต่ก็สมกับบรรยากาศและการบริการที่ได้รับ เป็นการปิดค่ำคืนสุดท้ายในย่างกุ้งได้อย่างประทับใจจริงๆ
แต่ละเมนูน่าทานมาก
-----------
DAY 3
-----------
Yangon Central Railway Station
เช้าวันที่ 3 จะขอมาสัมผัสประสบการณ์สุด Amazing กับกิจกรรมที่สามารถเข้าถึงวิถีชีวิตของชาวพม่าได้อย่างใกล้ชิดอย่างเช่น "การนั่งรถไฟท้องถิ่น" รอบเมือง ที่มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่สถานีรถไฟย่างกุ้ง หรือ Yangon Central Railway Station ซึ่งเป็นตัวอาคารเก่าแก่อายุร้อยกว่าปี ที่ได้รับการสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยที่อังกฤษเข้ามาเป็นเจ้าอาณานิคม ที่สามารถผัมผัสได้ถึงความขลังและความเป็น Local ไปพร้อมๆกัน
โดยเส้นทางรถไฟในตัวเมืองของย่างกุ้งนั้นจะเป็นวงกลมแบบ Loop Line ที่ถ้าจะนั่งครบ 1 รอบอาจจะต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ด้วยกัน แต่ถ้าใครเวลาน้อย ลองมานั่งเพียง 2-3 สถานีใกล้ๆ ดูก็ยังได้อรรรสและสนุกไม่แพ้กัน โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีราคาเริ่มต้นที่ 200 จ๊าด (ราว 5 บาท) ส่วนถ้านั่งไกลกว่านั้นก็ตามแต่ระยะทาง
สิ่งที่สัมผัสได้เมื่อก้าวขึ้นขบวนรถไฟ คือความรู้สึกถึงความเป็นพม่าแท้ๆ แต่ด้วยการแต่งตัวของนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนท้องถิ่น แถมยังยกกล้องขึ้นมาถ่ายกันแบบไม่ยอมหยุด ถึงอย่างไรเราก็ยังได้รับรอยยิ้มและความรู้สึกดีๆ ที่ส่งผ่านออกมาได้จากสายตาของคนท้องถิ่นที่คอยยิ้มใก้กับกล้องเมื่อเราขอถ่ายภาพ จนระยะทางกว่า 3 สถานีที่นั่งผ่านมานั้นผ่านไปไวเหมือนโกหก
บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ไม่ควรพลาดจริงๆ
ชาวพม่ามาใช้บริการรถไฟกันอย่างครึกครื้น
แม้รถไฟอาจจะเก่า แต่เรื่องของความสะอาดนั้นถือว่าผ่านเลย
ลงรถไฟมาแล้ว เจอกับตลาดสดแบบท้องถิ่น ที่บอกเลยว่าสนุกทั้งเดินดูของและหามุมถ่ายภาพ
Kyauk Htat Gyi
วัดพระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ "พระนอนตาหวาน" เนื่องจากดวงตาขององค์พระที่ดูสดใสมากราวกับแก้วตาของคนจริงๆ โดยองค์พระนั้นมีความยาวถึง 65 เมตร ชนิดที่ว่าแม้แต่เลนส์ไวด์ก็เก็บภาพได้ไม่หมด ถ้าอยากจะเห็นพระแบบเต็มๆองค์ จะต้องไปยืนดูจากแท่นที่เตรียมเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปถ่ายรูปบริเวณปลายเท้าขององค์พระ
ถือเป็นอีกหนึ่งเช็คพ๊อยท์ที่สามารถแวะเที่ยวได้ในวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ เพราะอยู่ในเส้นทางที่สามารถไปสนามบินต่อได้ทันที
แสดงว่ามีคนไทยมาเที่ยวกันเยอะจริง ถึงขนาดมีป้ายเป็นภาษาไทยบอกเลย
Acacia Tea Salon
เช็คพ้อยท์สุดท้ายก่อนเดินทางกลับเข้าสนามบินย่างกุ้งก็ต้องที่นี่เลย ร้านชา Acacia Tea Salon ที่ตั้งอยู่ในบ้านเก่าแบบยุคโคโลเนียล ให้บรรยากาศเสมือนนั่งจิบชายามบ่ายอยู่ที่บ้านของชาวอังกฤษ ถ้าใครมีเวลาหน่อยแนะนำให้สั่ง High Tea มานั่งดื่มเม้าส์มอยกับเพื่อนฆ่าเวลา แต่ถ้าบ้านไกลเวลาน้อย จะเลือกสั่งขนมเค้กเป็นชิ้นๆ มาทานคู่กับชา หรือสั่งแบบใส่กล่องกลับบ้านก็ได้เช่นกัน
ส่วนเรื่องรสชาตินั้นถือว่าผ่าน เพราะถือว่าในย่างกุ้งนั้นอาจจะไม่ได้มีร้านกาแฟสวยๆ ให้เลือกมากนักเหมือนในกรุงเทพฯ เป็นอีกหนึ่งสถานที่นั่งรอเวลาก่อนจะเดินนทางกลับเข้าสู่สนามบินได้ดีทีเดียว
ขนมหวานหน้าตาดีทีเดียว
ถ้าจะสั่งแบบกลับบ้าน ก็มาสั่งได้ที่เรือนกระจกด้านหน้าร้านได้เลย
Bye Bye Yangon
จากร้านกาแฟมาสนามบิน ถ้ารถไม่ติดใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีเท่านั้น เช็คอินนั่งรอไม่นานนักเครื่องบินมารับเราแล้ว ได้เวลาโบกมือลาย่างกุ้งมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ กันเสียที สำหรับเที่ยวบินขากลับนี้ก็เวลาดีมาก ออกเดินทางเวลา 18:20 และเดินทางไปถึงกรุงเทพฯ เวลา 20:15 น. เรียกว่าใช้เวลาวันสุดท้ายในย่างกุ้งได้แบบคุ้มค่าเต็มที่จริงๆ
สุดท้ายนี้อยากบอกว่าย่างกุ้งนั้นเที่ยวง่าย จะมาเอง หรือจะมากับทัวร์ก็สะดวกเช่นกัน อย่างของบางกอกแอร์เวย์สก็มีทัวร์ของบริษัท Bangkok Travel Club ที่สามารถจัดทริปแบบ Private ให้ได้ จะมาแบบ 2 คน 4 คน หรือเป็นสิบคนเค้าก็ดีไซน์ทริปให้ได้ตามงบประมาณที่ต้องการ แนะนำมาเที่ยวช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ลงตัวดี เพราะลางานเพียงแค่วันเดียวกลับไปลุยงานเช้าวันจันทร์ต่อได้แบบสบายๆ หรือถ้าอยากอยู่นานกว่านั้นจะลองออกไปเที่ยวพระธาตุอินแขวน หรือเดินทางข้ามเมืองไปกลับจากเนปิดอว์หรือมัณฑะเลย์ก็ได้เช่นกัน มาแล้วไม่ผิดหวัง แล้วจะรู้ว่าพม่านั้นยังคงมีอะไรให้เราได้ออกไปค้นหาได้อีกเยอะ