
รีวิว The Okura Prestige Bangkok ห้อง Imperial Suite สัมผัสความหรูหราสไตล์ญี่ปุ่นใจกลางกรุงเทพฯ กับห้องพักที่ใหญ่และแพงที่สุดของโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ
เมื่อความงดงามและศิลปะการบริการในแบบฉบับญี่ปุ่นได้มาบรรจบกันอย่างลงตัวที่ถนนวิทยุ The Okura Prestige Bangkok (โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ) จึงเป็นโรงแรมที่สะท้อนการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบของวัฒนธรรมและศิลปะของการให้บริการในแบบญี่ปุ่นจากเครือ Okura ที่ได้รับการยกระดับความหรูหราขึ้นไปอีกขั้นในฐานะโรงแรม The Okura Prestige แห่งแรกของโลกที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2012 บนถนนเศรษฐกิจสายสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งยังเป็นถนนที่ตั้งของสถานทูตญี่ปุ่นในประเทศไทย ที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสองวัฒนธรรมให้ยิ่งลึกซึ้งและมีความหมายยิ่งขึ้น ดั่งสะพานเชื่อมระหว่างสองวัฒนธรรม ที่อบอวลไปด้วยความสุขุมและความสง่างามในทุกมุมมอง และในโอกาสนี้ เราจะพาทุกท่านไปชมห้อง Imperial Suite หนึ่งเดียวของทางโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ หรูหรา และมีราคาแพงที่สุดของ The Okura Prestige Bangkok ซึ่งจะสวยงามน่าพักแค่ไหน ตามไปรับชมด้วยกันในรีวิวนี้ได้เลย





The Okura Prestige Bangkok ถือเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวสัญชาติญี่ปุ่นภายใต้ชื่อ The Okura Prestige แห่งแรกของโลกที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2555 โดยได้รับการยกระดับความหรูหราจาก Okura Hotel ขึ้นไปอีกขั้นให้มีความหรูหราและเอกลักษณ์อันโดดเด่นมากยิ่งขึ้น รวมถึงยังเป็นโรงแรมในเครือของทางบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย
ได้รับแรงบันดาลใจด้านการออกแบบจากสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นภายใต้แนวคิด "วะ" ที่มีความหมายถึง "Best A.C.S.” (Best Accommodation, Best Cuisine, Best Service) ความมุ่งมั่นในการนำเสนอบริการที่ดีที่สุด ทั้งในแง่ของสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยและการบริการที่มีเอกลักษณ์ในแบบ "Omotenashi" ศิลปะการบริการของญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนด้วยประสบการณ์เหนือความคาดหมาย การต้อนรับที่อบอุ่นและการบริการที่ไม่ขาดตกบกพร่องทำให้ทุกการเข้าพักกลายเป็นความทรงจำที่ไม่เหมือนใคร ห้องพักที่สะท้อนถึงความเรียบง่ายและสงบในสไตล์ญี่ปุ่น พร้อมทั้งเสน่ห์ของความหรูหราที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่ทั้งเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายในทุกด้าน การันตีคุณภาพด้วยรางวัลระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Two Michelin Keys รวมถึง Forbes Travel Guide
ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางย่านเศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพฯ ภายในอาคาร Park Ventures Ecoplex บนถนนวิทยุตัดกับถนนเพลินจิต เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า BTS เพลินจิต ใกล้กับห้างเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ทำให้การเดินทางสะดวกสบายไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเพื่อธุรกิจหรือการท่องเที่ยวก็สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย

เมื่อมาถึงโรงแรมพนักงานจะพาไปยังลิฟท์เพื่อขึ้นมาสู่ Main Lobby ของทางโรงแรมที่ชั้น 24 กับเพดานสูงโปร่งแบบ Floor to Celling ดูสวยงามโอ่อ่าดีมาก หนึ่งในเอกลักษณ์อันโดดเด่นของทางโรงแรมคือพื้นที่ของสวนแบบญี่ปุ่นที่จะเปลี่ยนการตกแต่งไปตามแต่ฤดูกาล อย่างเช่นถ้าในฤดูใบไม้ผลิก็จะมาเป็นต้นไม้ใบสีส้มสวยงามน่าถ่ายภาพมากๆ
สำหรับแขกที่เลือกห้องพักประเภท Club Room หรือ Suite ขึ้นไป สามารถที่จะขึ้นลิฟท์ไปเช็คอินที่ The Okura Club Lounge บนชั้น 33 ได้เลย


The Okura Club Lounge

Room Type
ห้องพักของโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ ประกอบไปด้วยห้องพักและห้องสวีทจำนวน 240 ห้องด้วยกัน โดยห้องพักของทางโรงแรมสามารถแบ่งออกเป็นห้องพักประเภทต่างๆ ได้ทั้งหมด 10 ประเภท ประกอบไปด้วย
Deluxe
Deluxe Room ขนาด 43-47 ตารางเมตร
Deluxe Corner ขนาด 55 ตารางเมตร
Club (เข้า The Okura Club Lounge ได้)
Okura Club ขนาด 47 ตารางเมตร
Premium Club ขนาด 57 ตารางเมตร
Prestige Club ขนาด 65 ตารางเมตร
Suite (เข้า The Okura Club Lounge ได้)
Deluxe Suite ขนาด 80 ตารางเมตร
Prestige Suite ขนาด 97 ตารางเมตร
Presidential Suite ขนาด 156 ตารางเมตร (1 ห้อง)
Royal Suite ขนาด 165 ตารางเมตร (1 ห้อง)
Imperial Suite ขนาด 302 ตารางเมตร (1 ห้อง)
ห้องพักทุกประเภทมาพร้อมหน้าต่างขนาดใหญ่ สามารถเปิดรับวิวเมืองกรุงเทพฯ ได้อย่างเต็มตา รูปแบบการตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูหรูหราตามสไตล์ญี่ปุ่น รวมถึงมีอ่างในทุกห้องพัก และสำหรับห้องพักที่เป็นประเภท Club Room หรือ Suite ขึ้นไป จะสามารถใช้บริการในส่วนของ The Okura Club Lounge ที่มีให้บริการเครื่องดื่ม รวมถึง Afternoon Tea และ Cocktail ยามเย็นได้อีกด้วย

Imperia Suite
สำหรับครั้งนี้ เราเข้าพักที่ห้อง Imperial Suite (อิมพีเรียล สวีท) เพียงหนึ่งเดียวของทางโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ รวมถึยยังเป็นห้องที่ใหญ่และแพงที่สุดของโรงแรมอีกด้วย พื้นที่รวมกว่า 302 ตารางเมตร บอกเลยว่าเมื่อเปิดประตูเข้ามาแล้วว้าวมาก คือไม่เพียงแต่มีขนาดกว้างขวางเท่านั้น แต่ยังโดดเด่นด้วยการออกแบบที่ผสมผสานความหรูหราแบบญี่ปุ่นเข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว โดยตำแหน่งของห้องนั้นครอบคลุมพื้นที่ด้านกว้างของตึก Park Ventures Ecoplex ทั้งหมด ทำให้เราสามารถเห็นวิวสวยๆ ของกรุงเทพฯ ได้ทั้งจากฝั่งทิศเหนือ (ฝั่ง Central Embassy) และทิศใต้ (ฝั่ง The Athenee Hotel และสถานทูตอเมริกา) รวมถึงทิศตะวันตก (ฝั่งอาคาร OCC) ได้อย่างชัดเจน

ภายในห้อง Imperial Suite มีการแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน โดยเมื้อเปิดประตูเข้ามาจะพบกันส่วนของห้องนั่งเล่นที่มีขนาดใหญ่มาก โซฟายาวสามารถนั่งชวนเพื่อนมานั่งสังสรรค์กันบนห้องได้อย่างสบายๆ ส่วนบนโต๊ะด้านด้านโซฟาจะมีชุดชนม Welcome Set น่ารักๆ เป็นผลไม้วางต้อนรับพร้อมกับการ์ดจากทาง GM รอเอาไว้ในห้องให้เรียบร้อย


จากห้องนั่งเล่น มองไปยังฝั่งห้องรับประทานอาหาร

ชุด Welcome Set (ซ้าย) และเครื่งดื่มจาก Minibar ที่สามารถรับประทานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม (ขวา)


จัดจากห้องนั่งเล่น จะพบกับห้องทำงานที่แยกออกมาเป็นสัดส่วน พร้อมด้วยโต๊ะทำงานและเก้าอี้ สามารถเลื่อนประตูกระจกปิดได้เพื่อความเป็นส่วนตัวระหว่างการทำงานหรือประชุม


อีกส่วนที่ติดกับห้องนั่งเล่น คือส่วนของห้องรับประทานอาหาร และห้องครัวที่แยกสัดส่วนกันอย่างชัดเจน มีโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 8 ที่นั่ง ที่จัดโต๊ะพร้อมเครื่องแก้วเตรียมรอเอาไว้ให้อย่างดี ส่วนพื้นที่ห้องครัวมีประตูเลื่อนเปิดปิดได้ ครบทั้งเตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน รวมถึงอุปกรณ์ทำครัว จานชาม และเครื่องแก้วสำหรับไวน์ประเภทต่างๆ เตรียมเอาไว้ให้เสร็จสรรพ คือสามารถเรียกเชฟมาทำอาหารให้บริการแบบส่วนตัวภายในห้องได้เลย

ห้องครัวและห้องรับประทานอาหาร



วิวฝั่งทิศเหนือจากห้องรับประทานอาหาร มองเห็นห้างเซ็นทรัล เอ็มบาสซี

Minibar ที่มีทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ และเครื่องกดกาแฟแคปซูลของ illy ซึ่งเอาจริงๆ ในห้องครัวยังมีเครื่องกดกาแฟสดจากเมล็ดกาแฟเตรียมเอาไว้ให้อีกเครื่องด้วย คือเลือกได้ตามสบายเลยว่าอยากใช้จากเครื่องไหน ส่วนภายในตู้เย็นมีบริการเครื่องดื่มต่างๆ รวมถึงเบียร์เตรียมเอาไว้ให้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแต่อย่างใด (ไม่รวมพวกเหล้า)


ถัดเข้ามาข้างในส่วนจะพบกันส่วนของห้องนอนขนาดใหญ่ คือใหญ่จริงๆ มีเตียง King Size เอาไว้ให้ 2 เตียง พร้อมมุมโซฟานั่งเล่นภายในห้อง และทีวี บริเวณโต๊ะหัวเตียงมีจอ Control ระบบไฟฟ้าและแอร์ต่างๆ ภายในห้องพัก วิวจากเตียงนอนจะมองออกไปเห็นฝั่งทิศใต้ คือฝั่งโรงแรม The Athenee Hotel และพื้นที่สีเขียวโล่งสบายตาของสถานทูตสหรัฐ คือเปิดม่านแล้ววิวสวยเต็มตามาก
ส่วนตอน Turn Down ก่อนนอน ก็จะมีการ์ดน่ารักๆ รวมถึงการพับกระดาษเป็นนกกระสาเอามาวางไว้ให้ที่เตียงนอน




ห้องเก็บของแบบ Walk-in Closet คือใหญ่มากๆ มีประตูเปิดปิดพร้อม

อีกหนึ่งไฮไลท์ของห้อง imperial Suite ต้องยกให้กับส่วนของห้องน้ำ คือใหญ่เวอร์วังมาก อ่างล่างหน้ามีเตรียมเอาไว้ให้ 2 อ่างคนละฝั่งซ้าย ขวา ไม่ต้องแย่งกัน รวมถึงพื้นที่ห้องอาบน้ำ ห้องสุขาที่มาพร้อมกับโถสุขภัณฑ์ไฟฟ้าแบบญี่ปุ่น และห้องซาวน่าแบบส่วนตัวภายในห้องพักที่ไม่ต้องไปใช้รวมถึงซาวน่าส่วนกลางที่บริเวณฟิตเนส ที่ชอบที่สุดต้องยกให้กับพื้นที่ของอ่างน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดกับกระจก ดูในภาพอาจจะเหมือนเล็กๆ แต่ว่าสามารถลงไปแช่ได้สองคนพร้อมนั่งยืดขาได้สบายๆ Scrub ขัดตัวก็มีเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อย ส่วนหน้าต่างเป็นม่านแบบไฟฟ้ากดปุ่มเดียวเลื่อนเปิดปิดได้ตามใจ
พวก Bathroom Amenity ภายในห้องน้ำใช้เป็นของ HARNN (หาญ) แบรนด์ชั้นนำของไทยที่กลิ่นหอมถูกใจใครหลายๆ คนมาก




ภายในห้องน้ำกว้างขวางมาก

โถสุขภัณฑ์แบบไฟฟ้าสไตล์ญี่ปุ่น

วิวพื้นที่สีเขียวของสถานทูตอเมริกาจากห้องน้ำ


ห้องซาวน่าส่วนตัวภายในห้องน้ำ


เป็นมุมที่ชอบมากๆ วิวสวนทั้งกลางวันกลางคืน เหมาะมานอนจิบไวน์แข่น้ำชิวๆ ตอนก่อนนอน

ใช้ผลิตภัณฑ์ของ HARNN

Facility
พื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกของโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ จะตั้งอยู่ที่ชั้น 25 ทั้งหมด ประกอบไปด้วย
สระว่ายน้ำ Infinity Pool
Okura Spa
Fitness Center
ร้านดอกไม้ Atelier (อเทอลิเย่ร์)

สระว่ายน้ำ Infinity Pool
ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของทางโรงแรมเลย บรรยากาศดีมาก เพราะตัวสระจะยื่นออกไปจากตึกเหมือนลอยอยู่กลางท้องฟ้าพร้อมวิวเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ ช่วงเย็นๆ ฟ้าสวย บรรยากาศดีมาก

Okura Spa และ Fitness Center
ทั้งสองส่วนนี้จะตั้งอยู่ติดกันที่ชั้น 25 ซึ่ง Okura Spa นั้นขึ้นชื่อในเรื่องการบริการอยู่แล้ว อย่างเราเองก็มีโอกาสได้มาลองใช้อยู่หลายครั้ง นวดดีมาก บรรยากาศเงียบสงบ ส่วนของ Fitness Center ก็จะตั้งอยู่ข้างๆ กันก่อนเข้าสระว่ายน้ำ อุปกรณ์ไม่เยอะมากแต่ว่าครบครัน ดูโปร่งสบายตาเพราะมองเห็นวิวสระและตึกภายนอก ส่วนในห้องแต่งตัวมีบริการทั้งล็อกเกอร์ ห้องอาบน้ำ รวมถึงห้องซาวน่า และสตรีมด้วย เรียกว่าครบครันมากๆ

Okura Spa

Restaurant
ห้องอาหารและบาร์ของโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ มีทั้งหมด 4 แห่งด้วยกัน ประกอบด้วย
Element, Inspire by Ciel Bleu - ห้องอาหารฝรั่งเศษ กลิ่นอายญี่ปุ่น ระดับมิชลิน 1 ดาว
Yamazato - ห้องอาหารญี่ปุ่นระดับมิชลินไกด์ เสิร์ฟเมนู Kaiseki สุดปราณีต
Up & Above Restaurant and Bar - ห้องอาหารนานาชาติแบบ All Day Dining
La Patisserie - ร้านเบเกอร์รี่
นอกจากนี้ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ ยังมีอีกหนึ่ง Dining Experience ที่ให้บริการอยู่ภายนอกโรงแรม กับเรือ Okura Cruise เรือไคเซกิและเทปันยากิที่ให้บริการโดยโอกุระลำแรกของโลก ที่ให้บริการเมนูจากห้องอาหาร Yamazato โดยให้บริการล่องแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีท่าเรืออยู่ที่ Asiatique The Riverfront Destination

Yamazato
ห้องอาหารญี่ปุ่น Fine Dining ชื่อดังของทางโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ กับดีกรีมิชลินไกด์ที่เสิร์ฟเมนูแบบ Kaiseki (ไคเซกิ) ต้นตำหรับฉบับญี่ปุ่นแท้ๆ รวมถึงโซนเทปันยากิ และ Omakase ต้องบอกว่าทางร้านให้ความสำคัญกับกรรมวิธีทำ และการตกแต่งจานมาก คือวัตถุดิบดี รสชาติอร่อย มีทั้งแบบ A la Carte และสั่งแบบเป็นชุด Kaiseki จากที่เห็นคือมีคนญี่ปุ่นก็แวะเวียนมาทานที่ห้องอาหารนี้กันอยู่เป็นระยะ
อย่างชุด Seasonal Dinner Kaiseki ที่เราได้ลองมาจะเสิร์ฟทั้งหมด 8 จานด้วยกัน เมนูอาจจะมีผัดเปลี่ยนไปบ้างตามฤดูกาล แต่โดยรวมคืออร่อยเลย แต่ละจายอาจดูเล็กๆ น่ารัก แต่ว่าพอทานรวมทั้งหมดแล้วก็คืออิ่มเลย ถือเป็นอีกร้านที่ขอแนะนำจริงๆ

Black Cod with Yuzu (ซ้าย)

Snow Crab Tempura (ซ้าย) และ Sashimi (ขวา)

Up & Above Restaurant and Bar
เรียกว่าเป็นห้องอาหารหลักแบบ All Day Dining ของทางโรงแรม ที่ให้บริการทั้ง เช้า เที่ยง และเย็น แบบเมนู A la Carte รวมถึง Sunday Brunch Buffet และบริการ Afternoon Tea ของทางโรงแรมที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเมนูขนมหวานไปตามฤดูกาล ถือเป็นอีกหนึ่งร้านที่เราแวะมาบ่อย ไม่ว่าจะมาดริ๊งค์ที่บริเวณบาร์ หรือมาทานชุดน้ำชายามบ่ายของทางโรงแรม

Breakfast
ต้องบอกว่าบริการอาหารเช้าของทางโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ จะมีให้บริการสองส่วนด้วยกัน คือแบบ Buffet ที่ห้องอาหาร Up & Above Restaurant and Bar และแบบ Bento Set ที่ห้องอาหาร Yamazato (สามารถเลือกได้ 1 เซ็ตเท่านั้น) อันนี้ก็เลือกได้ตามแต่ความชอบ แต่สามารถเลือกได้เพียงที่เดียวเท่านั้น
สำหรับบริการอาหารเช้าแบบ Buffet ห้องอาหาร Up & Above Restaurant and Bar ไลน์อาหารมีความหลากลหายดีเลย วัตถุดิบดี มีทั้งแบบเมนูตะวันตกและเมนูญี่ปุ่น ถ้าใครชอบความคุ้มค่าและความหลากหลาย แนะนำให้เลือกทานที่ห้องอาหารนี้

ไลน์อาหารเช้าของห้องอาหาร Up & Above Restaurant and Bar


เมนูหลากหลาย

มีมุมอาหารเช้าแบบญี่ปุ่นให้บริการ

ของหวานและขนมเบเกอร์รี่


The Okura Club Lounge
ส่วนของคลับเลาจน์ของทางโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ นั้นจะตั้งอยู่บนชั้น 33 วิวดีมาก ให้บริการสำหรับแขกที่เลือกเป็นห้องพักประเภท Club และ Suite เท่านั้น สามารถมาใช้บริการทั้งเช็คอิน เช็คเอ้าท์ และบริการอาหารเช้า เครื่องดื่ม ของว่าง ระหว่างวัน และ Evening Cocktail
โดยบริการ Afternoon tea ยามบ่ายจะให้บริการระหว่างเวลา 14.00 - 16.00 น. อย่างเมื่อก่อนจะมาเป็นชุด Afternoon tea เป็นเซ็ตสวยงามเลย แต่ตอนนี้ปรับมาเป็นให้เราเดินไปหยิบขนมมาทานเองแทน ซึ่งขนมก็ถือว่ามีตัวเลือกกำลังดี บางเมนูคืออร่อยมากต้องมีหยิบซ้ำ
ส่วน Evening Cocktail ให้บริการระหว่างเวลา 17.00 - 19.00 น. ของกินเยอะมาก วัตถุดิบดีงาม โอเด้งซุปแบบญี่ปุ่นคืออร่อยแบบทานจริงจังได้เลย ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์มีทั้งไวน์ขาว ไวน์แดง และ Sparkling Wine เป็นตัว Bottega (Millesimato) เบียร์มีทั้งของไทยและญี่ปุ่นให้บริการ
และตอนเช้า เราเองเลือกที่จะมาทานที่นี่แทนห้องอาหารด้านล่าง เพราะว่าคนน้อยเป็นส่วนตัวดีมาก ไม่วุ่นวายเลย แน่นอนว่าไลน์อาหารอาจจะน้อยกว่าของ Up & Above ที่เป็นบุฟเฟ่ต์จริงจัง แต่ว่าก็ไม่น้อยหน้า ใช้ของดี รวมถึงมีพวกเมนูอาหารเช้าแบบ Set และแบบ A la Carte ที่เป็น Side dish ต่างๆ ให้สั่งเพิ่มเติมได้ด้วย คือแบบเซ็ตจะสามารถเลือกสั่งได้แค่คนละ 1 เซ็ต มีให้เลือกเป็นตะวันตก เอเชีย และ Bento ญี่ปุ่นแบบเดียวกันกับของ Yamazato เรียกว่าทานบนนี้เหมือนเอาของ Up & Above และ Yamazato มามัดรวมกัน เมนูอาจน้อยกว่าหน่อย แต่โดยรวมคือดีมาก แนะนำให้มาทานบนนี้

ภายใน The Okura Club Lounge


ช่วง Afternoon Tea


บรรยากาศยามเย็น

ช่วง Evening Cocktail

เครื่องดื่มต่างๆ ที่มีให้บริการ

Sparkling Wine ช่วงเย็น


โอเด้ง

เมนูอาหารเช้า

มื้อเช้าบนคลับเลาจน์ดีมาก




บนนยากาศช่วงเช้าบนคลับเลาจน์


บนสรุปของโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ และห้อง Imperial Suite คือประสบการณ์ของการเข้าพักโรงแรมจากแบรนด์ญี่ปุ่นแท้ๆ ที่ได้ผสมผสานความหรูหราแบบญี่ปุ่นกับความสะดวกสบายใจกลางกรุงเทพฯ เหมาะสำหรับทั้งการพักผ่อนและการเดินทางเพื่อธุรกิจ ส่วนห้อง Imperial Suite กว้างขวางสมกับการเป็นห้องสวีทที่ใหญ่ที่สุดของทางโรงแรมมากๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องครบจนเราแทบไม่อยากออกไปไหนเลย Facility ต่างๆ ดีงาม วิวสวย และด้วย Location คือสะดวกสบายสุดๆ เพราะอยู่ใจกลางเมือง จะเลือกทานอาหารที่โรงแรม เดินไปทานที่ห้าง หรือร้านอาหารในบริเวณใกล้เคียงได้ง่ายๆ แน่นอนว่าการตกแต่งอะไรอาจไม่ได้ดูชิค ทันสมัย เหมือนโรงแรมสมัยใหม่อื่นๆ แต่ว่าก็สมดีกรีกับการเป็น Okura Prestige ทุกประการ ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่อยากให้มาลองกัน
The Okura Prestige Bangkok
เว็บไซต์ www.okurabangkok.com
โทร 02-687-9000
อีเมล์ info@okurabangkok.com
ที่อยู่ Park Ventures Ecoplex, 57 Wireless Road, Bangkok 10330, Thailand

Comments