Maldives...once in a lifetime destination
ลุย ลุย ลุยยยย !!! เพราะตอนนี้ใครๆ เค้าก็ไปมัลดีฟส์กันได้แล้ว จุดหมายปลายทางในฝันที่เชื่อว่าทั้งเราเองและใครอีกหลายๆ คนก็เคยฝันอยากจะไปเที่ยว กับ once in a lifetime destination ที่สักครั้งหนึ่งในชีวิตต้องขอมีโอกาสได้ไปสัมผัส
และในวันนี้ฝันก็เป็นจริงซะที ^^ เพราะตั้งแต่แอร์เอเชียเปิดเที่ยวบินบินตรงสู่มัลดีฟส์ เราก็ไม่รอช้าซิจ๊ะ รีบจองตั๋วตรงดิ่งมามัลดีฟส์แบบไม่ต้องรีรอ ขอบอกเลยว่า สวรรค์บนดินชัดๆ ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าสวรรค์บนน้ำ กับน้ำทะเลใสๆ ชายหาดขาวๆ ลมเย็นๆ ขอบอกเลยว่า อิจฉาได้แต่อย่าแรง ^^
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ เราเริ่มเดินทางกันจากท่าอากาศยานดอนเมือง (DMK) ประเทศไทย ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติเวลานา (MLE) ประเทศมัลดีฟส์ ด้วยสายการบินไทยแอร์เอเชีย (ThaiAirAsia) ที่ให้บริการทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน
ขาไป FD 177 DMK-MLE เวลา 09.30-11.40 น. ใช้เวลาบินประมาน 4 ชั่วโมง 10 นาที
ขากลับ FD 178 MLE-DMK เวลา 12.30-19.00 น. ใช้เวลาบินประมาน 4 ชั่วโมง 30 นาที
น้ำใสแค่ไหน ถามใจเธอดู
ระหว่างทางที่กำลังจะลงสู่สนามบินเวลานานั้น เมื่อมองออกไปด้านนอกเราจะเห็นเป็นหมู่เกาะเล็ก เกาะใหญ่ เรียงรายอยู่มากมายเต็มไปหมดสุดลูกหูลูกตา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหมู่เกาะมัลดีฟส์เลยนั่นเอง แนะนำว่าต้องเลือกที่นั่งฝั่งซ้ายนะจ๊ะ เพราะว่าจะเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากๆ ส่วนใครนั่งฝั่งขวานะเหรอ หึ เหมือนบินลงภูเก็ตดีๆ นี่เอง แตกต่างกันมว๊ากกกก
และแล้วเราก็มาถึงสนามบินเวลานากันเป็นที่เรียบร้อย สนามบินเวลานา (Velena) แม้ว่าจะเป็นสนามบินหลักของมัลดีฟส์ แต่ก็เป็นสนามบินเล็กๆ เมื่อลงมาจากเครื่องแล้วสามารถเดินเข้าสู่อาคารได้อย่างสะดวก พอเดินเข้ามาสู่ตัวอาคารผู้โดยสาร เราจะเห็นจุดต่อคิวสำหรับเคาเตอร์ ตม. เดินถัดไปจากจุด ตม. นั้น เราก็สามารถรอรับกระเป๋าได้เลย (สนามบินมันเล็กมากจริงๆ)
หลังจากที่เราผ่านจุด ตม. และรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว พอเดินออกมาเราจะเห็นจุดบริการซิมการ์ด เคาเตอร์ซื้อตั๋วเรือเพื่อเดินทางไปยังเกาะต่างๆ (สำหรับคนไหนที่จองมาแล้วแต่ไม่รวมการเดินทาง Speed Boat หรือ Sea Plane) รวมทั้งเคาเตอร์ของโรงแรมต่างๆ มากมาย เป็นบูทๆ ซึ่งจะมีเลขบ่งบอกชัดเจน สำหรับทริปนี้ เราจะพาไปที่โรงแรม Club Med Kani (คลับ เมด คานิ) หมายเลขเคาเตอร์คือ No.61 เมื่อออกมาแล้วก็มองหาเคาน์เตอร์เพื่อไปลงทะเบียนสำหรับการเดินทางต่อไปยังโรงแรม
ปล. คนไทยสามารถเข้ามัลดีฟส์ได้เลยโดยไม่ต้องใช้วีซ่า
เมื่อมาถึงบูทของ Club Med Kani หมายเลข 61 ก็ทำการยื่นเอกสาร Voucher ที่เราทำการสำรองไว้ และ Passport ลงทะเบียนตามขั้นตอน หลังจากนั้น พนักงานจะทำการใส่สายรัดที่ข้อมือ เพื่อให้ทราบว่าเป็นลูกค้าของทางโรงแรม แสดงก็เพื่อให้พนักงานของทางโรงแรมที่จะมารับทราบ เพราะเราจะต้องนั่งเรือ Speed Boat ไปยังที่พักอีกต่อหนึ่ง
สำหรับการใช้จ่ายที่นี่จะต้องแลกเงินเป็นค่าเงิน USD เอาไว้ตั้งแต่มาจากประเทศไทยเลยนะจ๊ะ เพราะที่นี่เค้าไม่มีตู้ ATM ที่สนามบิน หากต้องการกดเงิน หรือทำธุรกรรมทางการเงินจะต้องเข้าไปในตัวเมืองของมาเล่ (Male’) เท่านั้น ส่วนการใช้จ่ายก็ใช้ได้ทั้งเงินสกุลท้องถื่นของมัลดีฟส์ แต่ถ้าพักพวกโรงแรมใหญ่ๆ อยู่แล้ว ใช้จ่ายเป็น USD หรือบัตรเครดิตเลยจะสะดวกกว่า
ในการมาทริปนี้เราจอง Package 3 Days 2 Nights แบบ All inclusive ซึ่งจะรวมค่าที่พัก, ค่า Transportation, ค่า Activities (กิจกรรมบางอย่างอาจไม่ได้รวมอยู่ใน Package เช่น พวกกิจกรรมที่ต้องมีการใช้น้ำมันอย่าง Water ball, Jet Ski, Parasailing เป็นต้น), อาหารครบทุกมื้อ และเครื่องดื่มทุกประเภท เรียกว่าจ่ายทีเดียวคุ้มมากๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอื่นๆ เลย
บูทของ Club Med Kani หมายเลข 61
เดินข้ามถนนเพียงนิดเดียวก็ถึงท่าเรือหน้าสนามบิน
เราใช้เวลานั่ง Speed boat จากท่าเรือที่สนามบินเวลานาไปยังที่พักโดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที (ถือว่าไม่นานนะ เพราะบางที่พักต้องเดินทางไปอีกเป็นชั่วโมง) ส่วนที่พักที่ไกลกว่านั้นก็อาจจะต้องนั่งเป็น Sea Plane แทน
บนเรือมีเสื้อชูชีพให้พร้อม ทุกคนบนเรือจะต้องใส่ก่อนที่เรือจะออก
ในที่สุดเราก็ถึงที่หมายแล้วววว Club Med Kani ......
เมื่อลงจากเรือก็จะมีเจ้าหน้าที่ของที่นี่มาคอยต้อนรับตั้งแต่ที่ Jetty (ท่าเรือ) เลย ซึ่งพนักงานของที่นี่เค้าจะเรียกกันว่า GO (จีโอ) หรือ Gentle Oganizer ถ้าใครที่กังวลเรื่องภาษา การสนทนา บอกเลยว่า ไม่ต้องเป็นกังวลนะจ๊ะ เพราะที่นี่เค้ามีเจ้าหน้าที่มากกว่า 90 คน พูดได้มากกว่า 20 ภาษา เพื่อคอยดูแลและให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งพนักงานคนไทย ที่จะคอยมาดูแลและต้อนรับหากมีนักท่องเที่ยวคนไทยอย่างเราๆ มาเยือน
ถึงเกาะ Kani แล้ว
หลังจากนั้น GO ก็จะพาเรามายัง Reception พร้อมบริการผ้าเย็นและเครื่องดื่มคลายร้อน ก่อนที่จะแจกกุญแจห้องพักและอธิบายถึงเรื่องสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของโรงแรม
เอาละเมื่อฟังอธิบายเรื่องการเดินทางมาที่โรงแรมเป็นที่เรียบร้อยก็ได้เวลาพาไปชมห้องพักซะที โดยที่นี่เค้าจะแบ่งเป็นแบบ 3 แบบหลักๆด้วยกัน คือ
1. Club Room (Superior Room)
2. Deluxe (Beach Villa)
3. Over Water Suite (Lagoon Suite)
ซึ่งห้องพักแบบ Club Room (Superior Room) และ Deluxe (Beach Villa) จะคล้ายๆกัน เป็นห้องแบบมาตรฐานทั่วไป มีการตกแต่งสีห้องแบบพาสเทล หวานๆ ธรรมชาติดูแล้วสบายตา Facility ในห้องครบครัน ห้องน้ำเป็นแบบเปิดโล่ง ใครไปกะคู่รักนี่ สวีทหวานแหววเลย
ทางเข้าห้องพักแบบ Club Room (Superior Room) ส่วนด้านหน้าติดชายหาด สามารถเดินลงทะเลเล่นน้ำได้เลย
ห้องพักแบบ Club Room จะเป็นห้องพักแบบติดชายหาด ตกแต่งโทนสีสดใสสบายตา แต่ยังคงมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบถ้วน เปิดประตูปุ๊ปเดินจากชายหาดลงทะเลได้ปั๊ป หากใครมาแล้วอยากประหยัดค่าใช้จ่ายหน่อย แต่ก็ยังครบในความเป็นมัลดีฟส์ ก็สามารถเลือกพักแบบบนหาดหนึ่งคืน บนน้ำหนึ่งคืน ก็น่าจะช่วยเซฟเงินไปได้เยอะอยู่เหมือนกัน
ส่วนห้องพักแบบ Over Water Suite (Lagoon Suite) เรียกได้ว่าเป็นที่นิยมมากที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวมัลดีฟส์ เพราะมันได้อารมณ์ความเป็นมัลดีฟส์แบบสุดๆ เพราะตัวของห้องนั้นจะยื่นลงไปในทะเล ตื่นเช้ามาสามารถเดินลงเล่นน้ำได้จากระเบียงห้อง สัมผัสบรรยากาศกับความเป็นธรรมชาติสุดๆ โอ้ยยยย คิดแล้วอยากกลับไปอีกได้ไหม ^_^
วิธีการเข้าห้องนั้นก็ง่ายแสนง่าย เพราะสามารถใช้ Key Card ที่อยู่กับสายรัดข้อมือของเราได้เลย เรียกว่าติดตัวกับเราไปทุกที่ตลอดการเข้าพัก ไม่ต้องกลัวหาย หรือลืมทิ้งไว้ที่ไหน
นอกจากนั้น สายรัดข้อมือแต่ละสียังบอกสถานะของแขกที่มาพักด้วยว่าอยู่ห้องพักแบบใด เพราะส่วนของ Over Water Suite (Lagoon Suite) จะอนุญาติให้เฉพาะแขกที่พักโซนนี้เท่านั้นที่สามารถเดินเข้ามาได้
ภายในห้องพักสามารถแบ่งพื้นที่ใช้สอยได้หลักๆ ดังนี้ ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องแต่งตัว ห้องน้ำ และระเบียงที่มีทางเดินลงน้ำ ซึ่งเมื่อผ่านเข้าประตูมาปุ๊ปเราก็จะเห็นห้องนั่งเล่นเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเป็นส่วนของห้องนอน ที่เป็นพื้นที่ๆใหญ่ที่สุดภายในห้อง ซึ่งจะมีเตียงนอน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ พวกโต๊ะทำงาน โต๊ะเครื่องแป้ง ทีวี จากนั้นก็จะมีอีกหนึ่งมุมที่เป็นห้องแต่งตัวเอาไว้ให้เราเก็บกระเป๋าเดินทาง และราวแขวนเสื้อ รวมทั้งพวก Mini Bar ส่วนคอกาแฟสบายใจได้ เพราะที่นี่มี Nespresso ให้บริการภายในห้องพักด้วย กดกันเพลินทั้งวัน ดื่มกันให้ตาค้างเลยทีเดียว
ส่วนเรื่อง Wifi ก็ไม่ต้องกังวล มีให้บริการถึงในห้อง แค่กรอกพาสเวิร์ดที่ทางโรงแรมแจกให้ก็เข้าอินเตอร์เนทได้เลย แต่ความความเร็วอาจจะขัดใจไปบ้างสักนิด วิ่งอยู่ราวๆ 1-2 Mbps แต่ก็เล่น facebook IG อัพรูปได้สบายๆ
ภายในห้องแต่งตัว และส่วนของ Mini Bar ที่มีทั้งขนม เครื่องดื่มในตู้เย็น และกาแฟ Nespresso ทานฟรีจ้า เพราะว่ารวมหมดแล้วในแพ็คเกจ
ส่วนของห้องน้ำนี่บอกเลยว่า ว้าวววววว มาก.. ห้องน้ำแบ่งออกเป็นสัดส่วนชัดเจนคือแบบแห้งและแบบเปียก แต่ขอพรีเซนต์ที่อ่างอาบน้ำแล้วกัน อย่างที่เห็นนะ มันจะนอนชิวๆ ในอ่าง มองวิวสวยๆ เปิดเพลงเบาๆ แหม่ !!! ถ้าได้นอนจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ด้วยนะ ... Chic Chic Cool Cool อะแก :P นี่ไม่ได้เว่อนะ อย่าด่าเราแรงสิ เราทำตามคอนเซปไง อิจฉาได้แต่อย่าแรง ^^
^^ ของจริงนี่ฟินกว่าในรูปนะ อิอิ
ในส่วนของระเบียงห้อง โอ้ยยยย นอกจากจะออกมานั่งเล่นรับลมเย็นๆ แล้ว คือมันเป็นมุมส่วนตัวที่เราชอบอีกมุมนึงในห้องพักนี้เลยนะ เพราะว่าเราสามารถเดินลงไปเล่นน้ำจากระเบียงห้องเราได้เลย มีฟักบัวไว้ให้ล้างตัวก่อน-หลังลงเล่นน้ำทะเล อยากลงเล่นเวลาไหนก็ตามสบายเลยจ้าาาาา ไม่ต้องอายใครด้วย
อีกอย่างนึงบางวันใครโชคดีหน่อยอาจจะได้มีโอกาสเห็นปลากระเบน หรือฉลามตัวเล็กๆ ว่ายน้ำมาแถวๆ ห้องพักเราด้วย แต่เสียดายตอนเราไปปลาไม่มาซะงั้น เลยไม่มีภาพมาอวดเลยอ่ะ 5555 แต่ว่าแค่ลงไปเดินในน้ำก็เห็นปลาเล็กปลาน้อย ปลานีโม่ หรือพวกปลาที่มีสีมันสวยงาม มาว่ายเล่นกันอยู่ที่ปะการังแถวห้องพักเรา ว่ายมาแบบใกล้ชิดมาก ชนขากันเลยทีเดียวแหล่ะ
อ้อออ !! ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของห้องแบบ Over Water Suite (Lagoon Suite) คือสามารถ Request breakfast on the bed ได้ โดยสามารถเลือกเมนูอาหารที่ต้องการ เครื่องดื่ม และกำหนดเวลาที่ต้องการให้เสริฟเองได้อีกด้วย หลักๆ จะมีอาหารตะวันตก อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น และอาหารเกาหลี
ซึ่งภายในห้องพักจะมีแบบฟอร์มที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ จะตั้งอยู่ในห้องรับแขกภายในห้องพัก ถ้าวันไหนอยากทานที่ห้องก็หยิบแบบฟอร์มมากรอกและนำไปเสียบไว้ที่หน้าห้องก่อนเข้านอนได้เลย (ก่อนตี 2) เพียงเท่านี้ตอนเช้าพนักงานก็จะนำอาหารเช้ามาเสริฟให้เราถึงที่ห้อง ซึ่งระหว่างที่เราไปทริปนี้บอกเลยว่าติดใจการทานอาหารเช้าในห้องมากๆ เพราะนอกจากอาหารจะอร่อยแล้ว ยังได้อารมณ์ชิลๆ จิบกาแฟยามเช้า นั่งมองทะเล เงียบสงบ เพื่อนๆ ลองจินตนาการภาพตามกันนะ บอกก่อนเลยว่ามันฟินมากกกก ก.ไก่ล้านตัว อิจฉาได้แต่อย่า (ด่า) แรงนะ 55555 ^^ ปล. ซุปกิมจิที่นี่อร่อยมาก ใครที่ชอบบอกเลยว่าต้องลองๆๆ แล้วถ้ายังรู้สึกว่าไม่อิ่ม ก็สามารถออกไปทานที่ห้องอาหารหลักต่อได้อีกนะ
อาหารเช้าแบบตะวันตก
อาหารเช้าแบบญี่ปุ่น
แบบฟอร์มสั่งอาหาร และป้าย do not disturb
นอกจากนั้น คนที่พักในส่วนของ Over Water Suite (Lagoon Suite) จะยังสามารถใช้บริการ Manta Lounge ได้อีกด้วย ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณทางเข้าโซนของ Over Water Suite ขอบอกเลยว่าเป็นเลาจน์ที่ดีงามมาก เพราะเราสามารถสั่งเครื่องดื่มที่อยู่ในเมนูได้ฟรีทุกแบบไม่ว่าจะเป็น Cocktail, Mocktail, Beer, Wine หรือคนไหนไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็มีน้ำผลไม้ น้ำอัดลมให้นะจ๊ะ อยากดื่มอะไรสั่งเลย รวมทั้งของทานเล่นอีกด้วย อยากสั่งอะไรก็สั่งได้ไม่จำกัด โดยบาร์นี้จะเปิดบริการตั้งแต่เวลา 09:00 -23:00 น. เมากันตั้งแต่หัววันเลยทีเดียว อิอิ ^^
Manta Lounge
ภายในเลาจน์มีเครื่องดื่มและของว่างให้บริการทั้งวัน และเป็นจุดที่มี Wifi ให้บริการด้วยเช่นเดียวกัน
บริเวณชายหาดส่วนตัวของโซนห้องพัก Over Water Suite (Lagoon Suite) ใครที่อยากผิวแทนก็ออกมานอนอาบแดดกันตรงนี้แล้วกัน แต่ที่นี่แดดแรงจริงๆนะ อย่าลืมพกครีมกันแดดมาด้วยละ
หลังจากชมห้องพักกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรามาดูห้องอาหารกันบ้างดีกว่า ที่นี่เค้ามีห้องอาหารมากถึง 3 ห้อง และ 2 บาร์ด้วยกัน เป็นสถานที่ๆ เราใช้ฝากท้องในมื้อต่างๆ ตลอดทริปนี้ ได้แก่
ห้องอาหาร
1. ห้องอาหาร Veli (ห้องอาหารหลัก)
2. ห้องอาหาร Kandu (ห้องอาหารรอง)
3. ห้องอาหาร Kaana (ห้องอาหารว่าง)
บาร์
1. Iru Bar
2. Sunset Bar
โดยห้องแรกที่เรากำลังจะมาทานกันถือเป็นห้องอาหารหลักขนาดใหญ่ มีที่นั่งทั้งแบบ Indoor และ Outdoor ชื่อว่าห้องอาหาร Veli มีบริการอาหารและเครื่องดื่ม เป็นอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติ (อาจจะถ่ายภาพห้องอาหารมาให้ชมไม่มากเท่าไหร่นะ)
เราสามารถทานอาหารเช้า กลางวัน และเย็น ได้ที่นี่ โดยอาหารจะมีหลายหลาย แบ่งเป็นซุ้มๆ ซุ้มสเต็ก ซุ้มอาหารญี่ปุ่น ซุ้มอาหารจีน ซุ้มอาหารอินเดีย ซุ้มอาหารไทย หรือซุ้มอาหารอิตาเลี่ยน โดยเมนูอาหารจะมีการสลับสับเปลี่ยนกันไปทุกๆ วัน และทุกๆ มื้อ เรียกได้ว่าสามารถเลือกทานกันได้แบบไม่เบื่อ และไม่อั้น
สำหรับอาหารที่แนะนำของที่นี่คือ ปลาทูน่า เพราะเป็นปลาทูน่าน้ำลึกที่มาจากจากมหาสมุทรอินเดีย ชาวประมงจะนำมาส่งที่โรงแรมส่งทุกๆ เช้า รับรองความสด อร่อยใช้ได้เลยล่ะ เพราะจากหลายๆ เสียงเลยที่ได้ลิ้มลอง บอกเลยว่ามันดีมากจริงๆ เนื้อเนียน ละมุนลิ้น จานเดียวไม่พอ เนื่องจากปลาสดทุกวันไม่มีการแช่ฟรีซ เอามาทำทั้งแบบซาชิมิทานสดๆ ก็อร่อย หรือจะเอามาปรุงแบบต่างๆ ก็รสชาติดีไม่แพ้กัน
ที่ขอแนะนำอีกอย่างคือสเต็กเนื้อ เมนูนี้ก็รับรองความหวาน หอมของเนื้อ ห้องอาหารที่นี่แม้จะเป็นแบบบุฟเฟ่ แต่ก็รสชาติดี สด อร่อย และยังใส่ใจในรายละเอียดของ Decorate จานอาหาร และการเลือกวัตถุดิบที่นำมาตกแต่งอีกด้วย
นอกจากนั้นก็ยังมีอาหารในซุ้มอื่นๆ ให้เลือกอีกได้ตามใจชอบ ทั้งแบบ ผัด ย่าง สลัด เมนูเส้นอย่างสปาเก็ตตี้หรือก๋วยเตี๋ยว ไม่จำเจ แถมถ้าอิ่มจากของคาวแล้ว ยังมีของหวานอย่างเค้ก ผลไม้ และไอศครีม ให้อร่อยกันต่ออีกด้วย
มุมเครื่องดื่ม มีทั้งชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ และเบียร์ ส่วนไวน์ก็สั่งจากที่โต๊ะได้เลย เดี๋ยวพนักงานจะเอามาเสริฟให้เอง
ต่อมาคือห้องอาหาร Kandu ให้บริการมื้อกลางวันแบบ A la Clart และตอนเย็นเป็นแบบ Course 4 อย่าง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะมีเมนูมาให้เลือก และจะเสริฟทีละเมนู เริ่มต้นจากซุป สตาร์ทเตอร์ จานหลัก และขนมหวาน แต่ถ้าใครอยากมาใช้บริการจะต้องจองล่วงหน้าก่อน 1 วัน เนื่องจากที่นั่งมีจำนวนจำกัด (ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) เรียกว่าถ้ามากันเป็นคู่ และมาทานที่ห้องอาหารนี้ก็โรแมนติกดีไม่น้อย
โดยห้องอาหาร Kandu นั้นจะตั้งอยู่ติดกับ Iru Bar (เปิดบริการช่วงหัวค่ำไปจนถึงเที่ยงคืน) เรียกว่าทานข้าวกันเสร็จแล้วก็ขอเชิญสายแดนซ์มามันส์ต่อกันที่นี่ได้เลย แม้ตามกำหนดการณ์จะปิดเที่ยงคืน แต่เอาจริงๆ ทางโรงแรมก็เต็มที่ให้กับแขก เปิดลากยาวให้ถึงตี 2 กันเกือบทุกคืน เรียกว่าจัดเต็มถูกใจสายแข็งจริงๆ ใครชอบปาร์ตี้รับรองห้ามพลาด ส่วนเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ นั้นก็พร้อมเสริฟกันแบบไม่อั้น ไม่ต้องกังวล ไม่มีคิดเงินเพิ่ม โอ้ยยยย นี่ก็ฟินนน 5555
ห้องอาหาร Kandu (ไฟสว่างๆ ด้านหลัง) และ Iru Bar (มืดๆ ด้านหน้า)
Iru Bar พร้อมให้บริการเครื่องดื่มกันยันเที่ยงคืน
โชว์จากเหล่า GO (พนักงานทั้งหมดของทางโรงแรม) ที่จะมาแสดงให้ชมกันทุกคืนที่ Iru Bar
อีกส่วนหนึ่งคือห้องอาหาร Kaana ซึ่งจะบริการอาหารมื้อสายและมื้อบ่าย (Tea time) ห้องนี้เป็นห้องอาหารเล็กๆ ที่มีรายการอาหารว่างง่ายๆ เลือกได้ตามเมนู เช่น ราเมง แซนวิช คานาเป้ พร้อมทั้งมีมุมของขนมปัง เค้ก หลากหลายเมนูมาก และเครื่องดื่มให้จิบเล่นยามบ่ายไม่ว่าจะเป็น ไวน์แดง ไวน์ขาว น้ำอัดลม หรือพวกชา กาแฟ เลือกดื่มให้หนำใจไปเลย
และจุดสุดท้ายคือ Sunset Bar เป็นบาร์ชิลๆ ชิคๆ ริมชายหาด มองดูพระอาทิตย์ตกยามเย็น ดูท้องฟ้าเปลี่ยนสี โรแมนติกสุดๆ จิบเครื่องดื่มเย็นๆ นอนชิลๆ ดูคนเล่นวอลเลย์บอลชายหาดกันอย่างสนุกสนาน ถือเป็นอีกหนึ่งจุดในการชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่ไม่ควรพลาดเหมือนกัน
ส่วนเครื่องดื่ม ก็เหมือนเดิมอยากสั่งอะไร สั่งเท่าไหร่ก็สั่งกันเข้าไป ดื่มกันให้เต็มที่ อ๊าาาาาาาส์ :D
ทั้งหมดนี้ ฟรีจร้า ดื่มกันได้เต็มที่ไม่อั้น
อีกหนึ่งกิจกรรมของที่นี่คือ ตลาดนัดเย็นวันอาทิตย์ ทุกๆ วันอาทิตย์จะมีชาวบ้านจากในเมืองมาเล่ มาตั้งขายของ คล้ายๆ ตลาดนัดสินค้าพื้นบ้าน เช่น จาน ชาม ลวดลายของท้องถิ่นที่นี่ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ เครื่องประดับ หรือสินค้าแฮนเมด เป็นต้น
ก่อนกลับเข้าห้องพักอย่าลืมแหงนหน้ามองท้องฟ้ากันด้วยละ เพราะว่าดาวที่นี่เยอะมากกกก เนื่องจากว่ามัลดีฟส์นั้นเป็็นหมู่เกาะที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรอินเดีย จึงไม่ค่อยมีแสงไฟใดๆ รบกวน (ยกเว้นจากห้องพัก) เลยทำให้เห็นดาวได้ชัดเจนมากๆ ยิ่งวันไหนอากาศดีๆ ด้วยแล้ว อาจจะโชคดีได้เห็นทางช้างเผือกก็เป็นได้
ว่าแล้วก็ขอโชว์สักหน่อย ไม่ได้อยากอวดเลยจริงๆ ^^
มาเข้าเรื่องกิจกรรมที่นี่กันบ้างนะ เอาที่มีรวมอยู่ใน Package ก่อนก็แล้วกัน เช่น การนั่งเรือออกไปดำน้ำตื้น (Snorkeling) มีให้บริการวันละ 2 รอบคือเช้า และบ่าย (กิจกรรมทางน้ำทุกอย่างของที่นี่ จะต้องมีการทดสอบว่ายน้ำในทะเล ไป-กลับ 50 เมตร เพื่อความปลอดภัยและป้องกันอันตราย) คายัค, วินเสริฟ, Paddle Board, เรือใบ, โยคะ, ซุมบ้า และฟิตเนส เป็นต้น
นอกจากนี้ในบางวันยังมี Workshop เช่น การแกะสลักผลไม้ การทำอาหาร เป็นต้น แต่กิจกรรมบางอย่างอาจไม่ได้รวมอยู่ใน Package อย่างประเภทกิจกรรมที่ต้องใช้น้ำมัน เช่น Water ball, Jet Ski, Parasailing หรือออกทัวร์ไปดำน้ำลึก (Scuba) เป็นต้น
สามารถเช็คกิจกรรม การแสดง และอาหาร ที่ให้บริการในแต่ละวันได้จากบอร์ด (อยู่บริเวณด้านหน้า Reception ของโรงแรม)
ส่วนเรื่องการเล่นน้ำ ก็มีจุดหลักๆ เลยคือที่ Main Pool ซึ่งตั้งอยู่ติดกับ Sunset Bar และ Jetty ที่เราใช้ขึ้นเรือ นอกนั้นก็คือทะเล ทะเล แล้วก็ทะเล อยากจะลงน้ำตรงไหนก็ได้ทั้งนั้นรอบเกาะ ซึ่งยาวเกือบๆ 1 กิโลเมตรทีเดียว หรือถ้าพักแบบ Over Water Suite อยู่แล้วก็เดินลงน้ำได้เลยจากระเบียงห้อง
สุดท้ายแย้ววววว คือ Souvenir Shop ใครที่ลืมของใช้ส่วนตัวหรืออยากได้อะไรเพิ่มเติม แม้แต่ของที่ระลึก ก็สามารถเลือกซื้อได้ที่นี่เลย แต่จะเป็นเสื้อผ้าสะส่วนใหญ่นะ
เสื้อโปโล ที่มีสัญลักษณ์ของ Club Med Kani
มุมมหาชนที่ใครๆ ก็ต้องมาถ่าย
หวังว่าทุกคนจะได้มีโอกาสไปสัมผัสธรรมชาติสวยๆ ที่มัลดีฟส์กันนะ รับรองว่าสวยเหมือนในรีวิวไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน ไม่จำเป็นว่าต้องพักราคาแพง เพราะไม่ว่าจะเป็นที่พักไหนบนหมู่เกาะมัลดีฟส์ แต่ละสถานที่ก็มีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ ถ้ามีโอกาสรับรองเราไปอีกแน่นอน แต่ตอนนี้ขอเก็บเงินก่อนนะ 55555 บ๊ายบาย