top of page

JW Marriott Phu Quoc เจดับบลิว แมริออท ฟูก๊วก ไข่มุกเม็ดงามแห่งเวียดนามตอนใต้ [รีวิว]

อัปเดตเมื่อ 28 ก.ค. 2564


รีวิว JW Marriott Phu Quoc เจดับบลิว แมริออท ฟูก๊วก ไข่มุกเม็ดงามแห่งเวียดนามตอนใต้


ถ้ามิชลินสตาร์ 3 ดาว คือร้านอาหารที่คู่ควรแก่การดั้นด้นเพื่อไปหาอาหารอร่อยๆ ทานแล้ว JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay Resort & Spa (เจดับบลิว แมริออท ฟูก๊วก เอมเมอรัลด์ เบย์ รีสอร์ต แอนด์ สปา) ก็คือโรงแรมที่เลอค่าและคู่ควรต่อการมาพักผ่อนอย่างยิ่ง กับนิยามของความหรูหราและคลาสสิกที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวบนพื้นที่กว่า 50 ไร่ ของชายหาดที่สวยงามที่สุดของ “เกาะฟู้โกว๊ก” ไข่มุกเม็ดงามแห่งเวียดนาม ที่ได้รับการเนรมิตรออกมาในธีมของมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีอายุกว่าร้อยปี ที่จะมีความสวยงามแค่ไหน ตามไปรับชมรีวิวด้วยกันได้เลย

 

จองห้องพัก JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay Resort & Spa ราคาพิเศษได้ที่นี่

Fly Boutique to Phu Quoc

การเดินทางครั้งนี้เราใช้บริการสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส กับเส้นทางบินใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อ 29 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสายการบินเพียงสายเดียวที่ให้บริการเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ ถึงเกาะฟู้โกว๊ก ประเทศเวียดนาม ด้วยความถี่สัปดาห์ละ 4 เที่ยวบิน (อังคาร พฤหัสบดี ศุกร์ อาทิตย์) พร้อมการบริการแบบ Full Service ครบจบทุกสิ่ง ทั้งบริการโหลดสัมภาระน้ำหนัก 20kg บริการเลือกที่นั่ง บริหารห้องรับรองผู้โดยสาร อาหารร้อน/เครื่องดื่ม และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่อย่างใด เรียกว่ามาพักผ่อนได้อย่างสวยๆ บูทีคๆ สมกับคอนเซปของการเดินทางในครั้งนี้จริงๆ

ขาไป PG 991 BKK-PQC เวลา 11:30-13:10 น.

ขากลับ PG 992 PQC-BKK เวลา 13:50-15:35 น.

ส่วนเวลาเดินทางนั้นต้องเรียกว่าตอบโจทย์สุดๆ เพราะไปถึงเกาะฟู้โกว๊กช่วงบ่าย เดินทางไปเช็คอินต่อที่โรงแรมได้พอดี ส่วนขากลับนั้นกใช้เวลาช่วงครึ่งเช้าที่โรงแรมได้อย่างเต็มที่ ก่อนเช็คเอ้าท์มาสนามบินขึ้นเครื่องได้พอดี

Blue Ribbon Lounge

ห้องรับรองสำหรับผู้โดยสารชั้นธุรกิจ และสมาชิก Flyer Bonus ชั้น Premier Member ที่บอกเลยว่าดีงามมาก เพราะจัดเต็มทั้งของว่าง เครื่องดื่มร้อน/เย็น และอาหารร้อน หากมีเวลาแนะนำให้รีบมาถึงสนามบินแต่เนิ่นๆ จะได้มีเวลาเข้ามาสั่งเกี๊ยวกุ้งร้อนๆ กับกาแฟสักแก้วก่อนขึ้นเครื่องรับรองว่าฟิน นอกจากนั้นยังมีบริการห้องอาบน้ำ และเก้าอี้นวดด้วยนะ ใครมีเวลาก็มานอนนวดเล่นๆ ตอนรอขึ้นเครื่องได้

นอกจากนี้ ถ้าใครไม่ได้นั่งชั้นธุรกิจแต่ว่าเป็นสมาชิก AIS Serenade ระดับ Platinum/Gold ก็สามารถกดเพื่อรับสิทธิ์เข้าใช้บริการได้ฟรีเช่นกัน

- เซเรเนดแพลทินัม (1 หมายเลข / 1 ครั้ง / เดือน) - เซเรเนดโกล์ด (1 หมายเลข / 2 ครั้ง / ปี)

บริการอาหารร้อน เครื่องดื่มร้อน/เย็น และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ระหว่างเที่ยวบิน

ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ประมาณ 1.30 ชั่วโมง จากกรุงเทพฯ เราก็มาถึงฟู้โกว๊กกันแล้ว โดยเกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ในประเทศเวียดนาม ฝั่งทะเลอ่าวไทย ที่ฟังชื่อแล้วอาจจะไม่เป็นที่คุ้นหูกันสักเท่าไหร่ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาจากฝั่งยุโรป อเมริกาแล้ว ต้องเรียกว่าเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะไข่มุกแห่งเวียดนามตอนใต้

เกาะฟู้โกว๊กถือเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม ถ้าให้เปรียบแล้วก็คล้ายกับเกาะภูเก็ตบ้านเราเมื่อสัก 10-20 ปีก่อน ดังนั้นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของที่นี่จึงยังสดใหม่ และได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐอย่างเต็มที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ Luxury แห่งใหม่ของเวียดนาม สังเกตได้จากสิ่งก่อสร้างรวมทั้งโรงแรมเชนใหญ่ๆ จากต่างประเทศที่กำลังผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด

ที่ตั้งของเกาะฟู้โกว๊กอยู่ในทะเลอ่าวไทย ระหว่างชายแดนประเทศเวียดนามและประเทศกัมพูชา

สนามบินของที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงเพื่อการรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตเช่นเดียวกัน โดยส่วนของตัวอาคารผู้โดยสารนั้นมีขนาดใหญ่และโอโถ่งมาก แม้ในปัจจุบันจะยังดูโหลงเหลงมีเที่ยวบินไม่เยอะนัก เพราะส่วนใหญ่เป็นเที่ยวบินในประเทศที่มาจากนครโฮจิมินห์ซิตี้ แต่เห็นได้ชัดเลยว่ามีอีกหลายสายการบินที่ให้ความสนใจเตรียมเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างประเทศมาสู่เกาะแห่งนี้

สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย สามารถมาเที่ยวเกาะฟู้โกว๊กได้โดยไม่ต้องทำวีซ่าเป็นระยะเวลา 30 วัน

Phu Quoc International Airport

JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay

จากสนามบิน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20-30 นาทีก็มาถึงโรงแรม JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay Resort & Spa ที่ต้องเรียกว่าเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่บนพื้นที่กว่า 50 ไร่ ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อต้นปี 2560 ที่ผ่านมานี่เอง ได้รับการออกแบบโดย Bill Bensley พ่อมดแห่งวงการสถาปนิกที่ออกแบบโรงแรมชื่อดังมาแล้วทั่วโลก (รวมทั้งโรงแรม The Siam ในประเทศไทย) โดยตอบรับคำเชิญจากเครือ Sun Group ให้มาออกแบบ JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay Resort & Spa ด้วยเงื่อนไขข้อสำคัญคือ "ไม่จำกัดงบประมาณในการออกแบบ" ที่เจ้าของเขียนเช็คเปล่าให้ เพื่อให้สถาปนิกสามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นไม่ต้องคิดเลยว่าการก่อสร้างและการตกแต่งของโรงแรมแห่งนี้จะจัดเต็มมากแค่ไหน ต้องเรียกว่าถ้าเจ้าของไม่ใช่ระดับอภิมหาเศรษฐีของประเทศเวียดนามแล้ว ก็คงยากที่จะสร้างโรงแรมได้ออกมาหรูหราอย่างนี้แน่นอน

แถมนี่ยังเป็นเพียงแค่ 1/3 จาก Master Plan ที่วางเอาไว้ ว่าจะต้องมีสวนน้ำขนาดใหญ่ที่ต้องนั่งเคเบิ้ลคาร์ข้ามเกาะไป (คาดว่าจะเปิดบริการภายในต้นปี 2561) และโรงแรมสุดหรูอย่าง The Ritz-Carlton อีกด้วย

ภาพถ่ายทางอากาศของโรงแรม JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay

เพื่อให้อินกับเรื่องราว และภาพความสวยงามของโรงแรมในรีวิวนี้ จึงจำเป็นต้องขอเกริ่นถึงประวัติความเป็นมาให้ได้รู้กันก่อน โดยทางคุณ Bill Bensley นั้นได้แรงบันดาลใจในการออกแบบโรงแรมแห่งนี้เมื่อได้มาเยือนเกาะฟู้โกว๊กครั้งแรก โดยวางคอนเซปให้เป็นโรงแรมที่สร้างขึ้นจากมหาวิทยาลัยเก่าแก่อายุร้อยกว่าปีของเกาะฟู้โกว๊กในชื่อ Lamarck University ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2447 ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลับชั้นนำของประเทศเวียดนามในขณะนั้น ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอันนำไปสู่วิทยาการและสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ โดยตัวมหาวิทยาลัยได้ถูกปิดลงในปี 2513 เนื่องจากสภาวะสงครามในประเทศ (ทั้งหมดคือเรื่องที่แต่งขึ้นตามคอนเซป) จนมาถึงปัจจุบันทางกลุ่ม Sun Group จึงได้ตัดสินใจที่จะฟื้นฟูมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรตินี้ขึ้นมาอีกครั้งด้วยการตกแต่งในแบบยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

ดังนั้นการออกแบบรวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ตกแต่งอยู่ภายในโรงแรม จึงเป็นของเก่าที่ล้อไปกับเรื่องราวของตัวมหาวิทยาลัย Lamarck University ทั้งหมด ที่ทางผู้ออกแบบใช้เวลากว่า 5 ปีในการไปรวบรวมเสาะหาของเก่าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหีบหนังสือ กรอบรูป แจกัน ภาพถ่าย ถ้วยรางวัล ฯลฯ จากทั่วทุกมุมโลกเพื่อมาเป็นของตกแต่งภายในโรงแรมแห่งนี้ รวมทั้งตัวอาคารและห้องพักที่ได้รับการสร้างขึ้นให้เสมือนเป็นหอพักของนักศึกษา ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ซ้ำกันตามแต่คณะสาขาที่มีสอนในมหาวิทยาลัย

ต้องยอมรับว่าเป็นโรงแรมที่เก็บตกได้ทุกรายละเอียดจริงๆ เพราะแค่มาถึงทางเข้าด้านหน้าโรงแรมก็พบกับความอลังการของถ้วงรางวัลขนาดยักษ์ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหน้าต้อนรับผู้มาเยือน ที่จำลองมาจากถ้วงรางวัลอันทรงเกียรติจากการแข่งขันกีฬาของทางมหาวิทยาลัย พร้อมกับการตกแต่งพื้นเป็นป้ายชื่อ Lamarck University และตัวมาสคอทของมหาวิทยาลัยเป็นรูปสุนัขหลักอาน ที่อิงมาจากเรื่องราวจริงๆ ของเกาะฟู้โกว๊กที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สุนัขหลังอานอันเลื่องชื่อ 1 ใน 3 แห่งของโลก

Concierge หรือ Bell Desk ที่มีกระดิ่งเก่าของจริงมาตั้งโชว์ โดยแขกที่มาพักสามารถสั่นกระดิ่งที่ตั้งอยู่เพื่อเรียกพนักงานได้จริงๆ อีกด้วย

ส่วนของ Lobby ที่ได้รับการตกแต่งให้เสมือนเป็นดั่งห้องสมุดของมหาวิทยาลัย บอกเลยว่าเวอร์วังอลังการมาก แถมหนังสือทุกเล่มที่ประดับตกแต่งอยู่ในตู้เป็นหนังสือเก่าของจริง ซึ่งแขกที่มาพักสามารถหยิบเอาหนังสือมาอ่าน หรือเอามาเป็นพร๊อพถ่ายรูปเก๋ๆ ได้อีกด้วย

เพื่อให้เรื่องราวของโรงแรมออกมาอย่างสมบูรณ์และสมจริงมากที่สุด ทาง JW Marriott ได้เฟ้นหาให้ GM คนแรกของโรงแรมที่มีนามสกุล Collins เหมือนกัน เพื่อวางเรื่องราวให้เป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจาก Mathew Collins อธิการบดีคนแรกของ Lamarck University อีกด้วย เรียกว่าเก็บตกทุกรายละเอียดจริงๆ

Welcome Drink และผ้าเย็นต้อนรับแขกที่มาเยือนระหว่างรอการเช็คอิน

Key Card

รถ Buggy สำหรับรับ/ส่งแขกไปยังห้องพัก

Room Type

ในส่วนของห้องพักนั้นจะแยกออกมาอยู่ตามอาคารต่างๆ ภายในโรงแรมที่จำลองว่าเป็นแต่ละคณะสาขาวิชา เช่น คณะดาราศาสตร์ คณะเกษตรกรรม คณะศิลปกรรมศาสตร์ ซึ่งแต่ละอาคารก็จะมีการปรับดับตกแต่งที่แตกต่างกันออกไปไม่ซ้ำกันตามแต่ลักษณะเด่นของคณะนั้นๆ ส่วนอาคารที่เราพักกันในครั้งนี้จะเป็นคณะ Sea Shell หรือเกี่ยวกับหอยวิทยานั่นเอง

สำหรับห้องพักนั้นจริงๆ แล้วก็มีอยู่หลายประเภท แต่จะขอพาไปชม 3 แบบเด่นๆ ดังนี้แล้วกัน

1. Emerald Bay View

2. Turquoise Suite

3. Lamarck House

Emerald Bay View

คือห้องพักของเราในครั้งนี้ ถือเป็นห้องพักแบบเริ่มต้นของทางโรงแรม ขนาด 53 ตารางเมตร แต่บอกเลยว่าถึงจะเป็นแบบเริ่มต้นแต่ก็อลังการสุดๆ ชนิดที่ว่าอาจจะเป็นห้องระดับแพงสุดของอีกหลายๆ โรงแรมเลยก็ว่าได้ เพดานสูง โอ่โถง ตกแต่งสอดรับไปกับธีมของโรงแรมในทุกจุด มาพร้อมโซฟาปลายเตียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน ส่วนปลั๊กไฟของที่นี่ก็เป็นแบบ Universal เสียบกับปลั๊กได้ทุกแบบ พร้อมหัวปลั๊กแบบ USB ให้เสียบชาร์ทมือถือได้โดยตรง และที่สำคัญคือ ห้องพักของที่นี่ Sea View ทุกห้อง ไม่ว่าจะอยู่ตึกไหนก็มองเห็นทะเลได้ทั้งหมด

การตกแต่ของคณะ Sea Shell จะเป็นรูปเปลือกหอย

ลำโพง Bluetooth ของ JBL มีให้บริการในทุกห้อง

ที่นั่งเล่นริมระเบียงมาพร้อมกับโซฟาตัวใหญ่ ออกมานั่งชิวตอนเย็นๆ อากาศดี ลมพัดเย็นสบายมาก

ห้องน้ำนี่ก็ว้าวสุดๆ และถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของห้องพักเลยทีเดียว เพราะทุกรายละเอียดนั้นจัดเต็ม ใช้วัสดุดีทุกอย่าง ประดับตกแต่งด้วยพื้นหินอ่อนสีขาวดูสะอาดตา มาครบทั้งอ่างอาบน้ำ Rain Shower พร้อมอ่างล้างหน้า 2 อ่าง ส่วนผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำก็ใช้ของ Aromatherapy Associates จากประเทศอังกฤษ ที่เก๋อีกอย่างคือเครื่องชั่งน้ำหนัก ที่มาในรูปแบบตราชั่งเข็มโบราณ ไม่มีหลุดคอนเซปสักจุดจริงๆ

ข้อมูลของโรงแรมแบบเก๋ๆ ในรูปของหนังสือพิมพ์ The Lamarck Time ที่แขกทุกคนจะได้รับหลังจากเช็คอิน

Turquoise Suite

ถัดมาคือห้องสวีทขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ใช้สอยถึง 90 ตารางเมตร ที่แม้จะไม่ใช่ห้องพักระดับท๊อปสุดของที่นี่ แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งในห้องไฮไลท์ของทางโรงแรม เพราะตั้งอยู่ที่ชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นที่สูงที่สุดของอาคาร วิวทะเลจึงมีความอลังการมากกว่าที่ชั้นอื่นๆ เพดานสูงโค้งรับไปกับโครงสร้างหลังคา ตกแต่งโทนสีขาวและฟ้าที่ดูสอดรับกับสีของน้ำทะเลข้างนอก มีพื้นที่ใช้สอย 3 ส่วนหลักๆ คือ ห้องนั่งเล่น ห้องนอน และห้องน้ำ ที่แต่ละห้องก็ช่างใหญ่โตเหลือเกิน

ห้องนั่งเล่น

ห้องนอนใหญ่โตน่านอนมาก

ห้องน้ำ

จากระเบียงที่ชั้น 6 สามารถมองเห็นสระว่ายน้ำ Main Pool (อันไกล) และสระเปลือกหอย ที่เป็นสระ Signature ของที่นี่ได้อย่างชัดเจน แถมในบางวันที่สระเปลือกหอย ทางโรงแรมจะมีจัดกิจกรรม Suft Yoga กลางสระน้ำอีกด้วย

Lamarck House

และห้องพักแบบสุดท้ายที่จะพามาชมก็ตคือวิลล่าหลังใหญ่ที่สุดของที่นี่ในชื่อ Lamarck House ที่จำลองเรื่องราวเอาไว้ว่าเป็นบ้านพักของอธิการบดีมหาวิทยาลัยนั่นเอง ขนาดหญ่โตมากสามารถอยู่กันได้ทั้งครอบครัว แค่ห้องนั่งเล่นกับห้องครัวก็กินพื้นที่ไป 1 หลัง ส่วนของห้องพักก็อยู่อีกหลัง แยกเป็นห้องนอนเล็ก 2 ห้อง และห้องนอนใหญ่อีก 1 ห้อง ส่วนสระว่ายน้ำส่วนตัวนั้นก็สร้างยาวไปตลอดแนวชายหาดหน้าวิลล่า สำหรับราคานั้นไม่ต้องพูดถึง แค่ราว 3 แสนกว่าบาท/คืนเอ๊งงงงง

ห้องนั่งเล่นส่วนตัวของห้องนอนใหญ่

อ่างน้ำหินอ่อนเวอร์วังมากกก

มุมนั่งเล่นริมระเบียงที่ถือเป็นมุมไฮไลท์ของ Lamarck House นั่งจิบชารับลมเย็นๆ ตรงนี้คงจะฟินไม่น้อย

Facility

จบเรื่องของห้องพักไปแล้ว หลังจากนี้ลองมาชมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของทางโรงแรมกันบ้างดีกว่า เริ่มกันด้วยสระว่ายน้ำของที่นี่ที่มีมากถึง 3 สระด้วยกัน และทุกสระตั้งอยู่ติดริมชายหาดทั้งหมด ได้แก่ Main Pool ที่เป็นสระหลัก มีขนาดใหญ่ที่สุด และยังเป็นที่ตั้งของสระเด็กเนื่องจากว่าตั้งอยู่ใกล้กับ Kid Club อีกด้วย สระเปลือกหอย หรือสระ Signature ของทางโรงแรมที่ออกแบบเป็นรูปทรงของเปลือกหอย และสุดท้ายคือ Sunrise Pool ที่มีลวดลายเป็นรูปพระอาทิตย์ขึ้น ที่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากสระว่ายน้ำได้อย่างชัดเจนอีกด้วย เพราะเป็นสระที่ตั้งอยู่ติดชายหาดมากที่สุด เลยไม่ค่อยโดนต้นมะพร้าวบังวิวเท่าไหร่

Sunrise Pool

สระเปลือกหอย และ Main Pool + สระเด็ก

Restaurant

ต่อมาคือส่วนของห้องอาหาร ที่แน่นอนว่าสำหรับโรงแรมใหญ่ขนาดนี้ ย่อมต้องมีห้องอาหารให้บริการหลายที่แน่นอน เริ่มกันด้วยห้องอาหารหลัก Tempus Fugit ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและให้บริการอาหารตลอดทั้งวัน รวมทั้งบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าของแขกที่มาพัก ตั้งอยู่บริเวณส่วนของ Rue de Lamarck หรือถนนของมหาวิทยาลัย Lamarck ที่จำลองให้เป็นเหมือนหมู่บ้านฮอยอันที่มีชื่อเสียงของประเทศเวียดนาม ซึ่งพื้นที่บริเวณ Rue de Lamarck นี้เปรียบเสมือนกันเป็นพื้นที่ส่วนกลางของโรงแรมที่มีร้านค้าและบริการต่างๆ สำหรับแขกที่มาพัก รวมทั้งเป็นส่วนที่นักท่องเที่ยวจากภายนอกสามารถที่จะเสียเงินเข้ามาเดินชม (ค่าเข้า 300,000 ดอง) หรือใช้บริการร้านค้าร้านอาหารต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณนี้ได้เช่นกัน

คอนเซปของห้องอาหาร Tempus Fugit นั้นวางให้เป็นอาคารของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของทางมหาวิทยาลัย ที่ภายในจะมีโมเดลจำลองของสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ตั้งประดับเอาไว้ ส่วนอาหารนั้นให้บริการเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติในช่วงเช้า ที่บอกเลยว่าไลน์อาหารเยอะและน่าทานมาก ส่วนเวลาอื่นสามารถสั่งเป็น A la carte ทานได้ตลอดทั้งวัน

ห้องอาหารตกแต่งสวยงามสมกับเป็นคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

กาแฟเย็นเวียดนาม หนึ่งในเมนูเครื่องดื่มที่ห้ามพลาด เพราะมันดีมากจริงๆ

เมนู A la carte ทั้งแบบฝรั่งและเวียดนาม

ไลน์บุเฟ่ต์อาหารเช้าเวอร์วังและมีตัวเลือกเยอะดีมาก ทั้งฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และที่ชอบที่สุดคือน้ำผลไม้ที่มีตัวเลือกหลากหลายชนิด คั้นสดๆ บรรจุใส่เป็นขวดให้เรียบร้อยพร้อมหยิบไปดื่ม แถมยังมีน้ำมะพร้าวสดที่เสริฟแบบเป็นลูกอีกด้วย

Egg Benedict ก็มี แต่ที่ชอบสุดคือเมนูเกาหลีอย่างเนื้อ Bulgogi ทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยมาก

ต่อมาคือร้านกาแฟที่ชื่อ French & Co. เอาไว้จิบเครื่องดื่มเย็นๆ ยามบ่ายคู่กับเบเกอร์รี่ฝรั่งเศสที่อบสดใหม่ทุกวันส่งกลิ่นหอมฟุ้งทั่วทั้งร้าน หรือถ้าอยากจะชิมกาแฟสดแบบเวียดนามแท้ๆ ก็มีให้บริการเช่นได้ โดยภายในร้านได้รับการตกแต่งด้วยเครื่องพิมพ์ดีดและตาชั่งโบราณที่เก๋ไก๋ไม่น้อย เปิดให้บริการตั้งแต่กลางวันไปจนถึงเย็น

เรียกว่าเป็นห้องอาหารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง แต่ถือว่าตกแต่งได้อลังการงานสร้างที่สุด กับห้องอาหาร Pink Pearl ที่ให้บริการอาหารค่ำแบบนานาชาติ โดยเฉพาะอาหารเวียดนามและอาหารจีน ภายในและภายนอกตกแต่งด้วยโทนสีชมพูสมกับชื่อ แต่ดูแล้วมีดีเทลเต็มกว่าห้องอาหารห้องอื่นอย่างมาก ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงของการตกแต่ง แต่คาดว่าน่าจะเปิดให้บริการได้ภายในต้นปี 2561 ที่จะถึงนี้

ถัดมาคือห้องอาหาร Red Rum ที่มาในรูปแบบของห้องอาหารโอเพ่นแอร์ริมทะเล ทานไปด้วยรับลมทะเลเย็นๆ ฟังเสียงเกลียวคลื่นไปด้วย ให้บริการอาหารทะเล และเมนู Sea Grill ต่างๆ ทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น โดยวัตถุดิบที่ทางห้องอาหารเลือกใช้นั้นสดดีมาก แม้ราคาอาจจะสูงว่าร้านซีฟู๊ดท้องถื่นข้างนอกไปหน่อย แต่หลังจากที่ลองทานกันแล้วเรียกว่าได้ว่าประทับใจทุกคน รสชาติดีทุกจาน ยิ่งได้ทานคู่กับเบียร์สดของเวียดนามด้วยแล้วเข้ากั๊นเข้ากัน

รสชาติก็ดี หน้าตาก็งามน่ากิน

เนื้อย่างรสชาติเด็ดอย่าบอกใคร

เด็กสายวิทย์ยังจำกันได้ไหม H Hydrogen, He Helium, Li Lithium ถ้าไม่ได้ เราขอเชิญมาฟื้นฟูความรู้ด้านวิทยาศาสตร์กันอีกครั้งที่ห้องเรียนวิชาเคมี หรือ Department Of Chemistry Bar ที่ให้เราได้เพลิดเพลินไปกับสูตรเคมีต่างๆ ได้ตลอดค่ำคืน ไม่ว่าจะเป็นม๊อกเทล ค๊อกเทล เบียร์ หรือเมนูเครื่องดื่มอื่นๆ ตามแต่จะจิตนาการกันออก

ส่วนตัวแล้วต้องขอคาราวะเลยว่าเลือกคณะได้เข้ากับคอนเซปของบาร์สุดๆ แถมการตกแต่งก็ออกคุมโทนออกมาไปในแนวทางเดียวกันอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นตารางธาตุ สูตรเคมี หรือแม้แต่ของตกแต่งที่เป็นแก้วบีกเกอร์หรือเครื่องมือทดลองวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่ชวนให้คิดว่ากำลังอยู่ในห้องเรียนวิชาเคมีจริงๆ

บรรยากาศหน้านั่งเพราะอยู่ติดชายหาด แถมตอนกลางคืนมีลมทะเลพัดเข้ามาเย็นสบายสุดๆ

มีวงดนตรีสดเล่นเพลงให้ฟังชิวๆ กันอีกด้วย

Sunrise

ในตอนเช้าแขกที่มาพักสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้าได้จากระเบียงริมห้องเลย เพราะตัวอาคารนั้นหันหน้าไปทางทิศตะวันออกอยู่แล้ว อุปสรรคเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้ไม่ได้ชมอาทิตย์ขึ้นก็คือความสบายของเตียงนอนที่มันดูดวิญญาณเสียจนไม่อยากจะงัดตัวเองขึ้นมาจากเตียงจริงๆ แต่ยังไงแนะนำให้ตื่นขึ้นมาดูเถอะ เพราะบรรยากาศยามเช้าริมทะเลมันสวยมาก

บรรยากาศยามเช้าจากชายหาดส่วนตัวของโรงแรม

ส่วนกิจกรรมในตอนเช้า หลังจากตื่นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จแล้วก็สามารถไปออกกำลังกายต่อได้ที่ Gym หรือภาควิชาพละศึกษาได้เช่นกัน ซึ่งการตกแต่งนั้นก็เก๋ไม่แพ้ส่วนอื่นๆ ของโรงแรมเลยทีเดียว โดยแขกที่มาพักสามารถเช็คตารางกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ได้จากแผ่นพับที่แจกอยู่ใน Gym ไม่ว่าจะเป็นคลาสโยคะบนบก คลาสโยคะในน้ำ (Suft Yoga) และกิจกรรม Work Shop อีกหลายอย่าง

หลังออกกำลังกายเสร็จก็ไปทานข้าวเช้าต่อได้เลย เพราะห้องอาหารเปิดให้บริการตั้งแต่ 7 โมง

อย่าลืมพกหูฟังมาด้วย เพราะลู่วิ่งที่นี่เค้ามาพร้อมจอขนาดใหญ่ ที่จะใช้ดูทีวี หรือเข้ายูทูปดูรายการโปรดย้อนหลังได้อีกด้วย

Rue de Lamarck ที่จำลองมาจากหมู่บ้านฮอยอัน บอกเลยตรงนี้มุมถ่ายรูปสวยๆ เพียบ

Spa

สปาของที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาควิชาเห็ดศึกษา เพราะทางผู้ออกแบบได้วางเรื่องราวเอาไว้ว่าในอดีตนั้นภาควิชาดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในสาขาวิชาที่มีความโดเด่นของทางมหาวิทยาลัย และได้วิจัยเห็ดสายพันต่างๆ เอาไว้หลายร้อยหลายพันชนิด ดังนั้น ทางโรงแรมจึงได้นำความรู้ที่ทางมหาวิทยาลัยสั่งสมมาพัฒนาต่อยอดเป็นสูตรบำรุงผิวพรรณชั้นดีที่ทำมาจากเห็ดสายพันธุ์ต่างๆ นั่นเอง โดยการตกแต่งต่างๆ ภายในสปาก็จะมีควาเกี่ยวข้องกับเห็ดทั้งหมด ตั้งแต่เสาอาคาร ไปจนถึงกรอบรูปของเห็ดนานาสายพันธุ์บนเพดานห้อง

ภายในห้องสปาสวยงามน่าใช้บริการจริงๆ

Meeting Room

คงเป็นส่วนที่แขกอย่างเราๆ คงจะไม่ได้มาใช้บริการกันสักเท่าไหร่ กับส่วนของ Lamarck Auditorium หรือ ห้องประชุมของมหาวิทยาลัย ที่จะต้องเป็นกรุ๊ปสัมนาหรือเหมาะกับการจัดงานต่างๆ เสียมากกว่า แต่ที่อยากพาชมให้พอเห็นเป็นน้ำจิ้มกันสักเล็กน้อยเนื่องจากความอลังการของการตกแต่งของทางโปรงแรมที่บอกเลยว่าไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนจริงๆ เพราะปรกติแล้วห้อง Function Room ของโรงแรมทั่วไปจะเป็นห้องว่างๆ ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากนัก เพื่อให้ผู้จัดงานสามารถนำของมาประดับตกแต่งเองได้ตามต้องการ แต่ผิดกับของที่นี่ เพราะทุกห้องจัดเต็มอีกแล้ว พร๊อพมาแน่นไม่แพ้ห้องพักของแขกเลยจริงๆ แถมแต่ละห้องก็ตกแต่งแตกต่างไม่มีซ้ำกันเลย ถ้าได้มาประชุมที่นี่บ้างคงจะฟินไม่น้อย

ท่องเที่ยวรอบเกาะฟู้โกว๊ก

หมดจากส่วนของโรงแรมแล้ว เรามาออกไปเที่ยวรอบๆ เกาะฟู้โกว๊กกันบ้างดีกว่า เริ่มต้นกันที่เจดีย์ Ho Quoc Pagoda ซึ่งเป็นวัดจีนที่ตั้งอยู่ริมทะเลอ่าวไทย อาจจะไม่มีประวัติของวัดมากนักเนื่องจากเพิ่งสร้างขึ้นไม่นาน แต่สำหรับสายบุญแล้วถือว่าไม่ควรพลาดเลยทีเดียว ใช้เวลาเดินทางจากโรงแรมราว 20 นาที

ต่อมาคือพิพิธภัณฑ์เรือนจำ The Coconut Tree Prison ที่เป็นเรือนจำเก่าของเกาะฟู้โกว๊กสมัย 50-60 ปีก่อนที่ปัจจุบันไม่มีอยู่แล้ว เหลืออยู่แค่ส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่สร้างจำลองขึ้นมาจากเรือนจำสมัยก่อนเท่านั้น

แต่เดิมเป็นเรือนจำของฝรั่งเศสที่เอาไว้ใช้ขังคนเวียดนาม และพอถึงสมัยสงครามเวียดนามก็ตกมาเป็นของฝ่ายอเมริกา ที่ได้ขยายขนาดคุกให้ใหญ่ขึ้นเพื่อให้สามารถรองรับนักโทษได้ถึง 40,000 คน เพื่อเอาไว้ใช้ขังเชลยศึกชาวเวียดนามเหนือ (เวียดกง) ที่ต่อต้านฝั่งอเมริกา โดยตัวเรือนจำได้ถูกปิดลงหลังสงครามเวียดนามสิ้นสุด

พิพิธภัณฑ์เรือนจำ The Coconut Tree Prison เปิดให้เข้าชมวันอังคาร - อาทิตย์ โดยใช้เวลาเดินทางจากโรงแรมราว 5-10 นาที

ในอดีตเคยมีนักโทษที่ถูกกักขังบางกลุ่มได้ขุดอุโมงลับใต้ดินเพื่อหลบหนี ซึ่งมีแค่เพียง 10 กว่าคนเพียงเท่านั้นที่สามารถหลบหนีได้สำเร็จ

แค่เพียงข้ามฝั่งถนนจากพิพิธภัณฑ์เรือนจำ The Coconut Tree Prison ก็จะพบกับโรงงานน้ำปลาฟู้โกว๊ก ของดีจากเมืองฟู้โกว๊กที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเดินชมภายในบริเวณโรงงานได้ โดยขอแนะนำเทคนิคสำคัญสำหรับการถ่ายภาพในโรงงานเอาไว้ให้ทราบกันก่อน นั่นคือ 1. เตรียมเซ็ทกล้องใหม่พร้อม 2. สูดหายใจให้ลึก และ 3. รีบวิ่งเข้าไปแช๊ะภาพให้ออกมาสวยงามดังใจต้องการ เพราะว่ากลิ่นน้ำปลาของที่นี่ แร๊งมากกกกก

แต่บอกเลยว่ารสชาติน้ำปลาของเค้าก็รสชาติดีไม่แพ้กัน คือจะไม่เค็มเกินไป แต่รสชาติกลมกล่อมกำลังดี เอามาคลุกกับข้าวสวยร้อนๆ ทานคู่ไข่เจียวบ้านเรานี่ดีงามสุดๆ ถ้าไม่เชื่อสามารถลองชิมกันสดๆ ได้ที่หน้าโรงงานเลย ถ้าถูกใจก็มีเป็นบรรจุขวดขายพร้อม แต่ถ้าใครที่จะซื้อขึ้นเครื่องกลับไทยต้องซื้อแบบขวดพลาสสติก ขนาดไม่เกินขวดละ 1 ลิตร และโหลดลงใต้ท้องเครื่องเท่านั้น ถ้าซื้อขวดแก้วมาหมดสิทธิ์นะจ๊ะ

สำหรับมื้อกลางวันขอแนะนำที่นี่เลย หมู่บ้านชาวประมง Hàm Ninh ที่มีภัตราคารลอยน้ำนับสิบแห่งตั้งอยู่ริมทางเดินของท่าเรือที่ยื่นไปในทะเล ที่รับประกันความสดใหม่ของวัตถุดิบ และที่สำคัญเลยคือราคายังไม่แพงอีกด้วย มาจัดเต็มซีฟู๊ดอร่อยๆ กันได้แบบกระเป๋าไม่ฉีกแน่นอน ใช้เวลาเดินทางจากโรงแรมราว 25-30 นาที หรือจากตัวเมืองฟู้โกว๊กจะใช้เวลาเพียงแค่ไม่เกิน 15 นาทีเท่านั้น

หนึ่งในของดีอีกอย่างของเมืองฟู้โกว๊กนั่นก็คือพริกไทย ที่นักท่องเที่ยวสามารถไปเยี่ยมชมฟาร์มพริกไทยที่มีอยู่หลายแห่งทั่วทั้งเกาะได้ไม่ยาก แถมบางแห่งยังตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ จอดรถเข้าไปแวะชมและเลือกซื้อพริกไทยใหม่ๆ กลับบ้านกันได้เลย อยากได้แบบขาว/ดำ หรือเกรดดีแค่ไหน ก็สอบถามเอาจากเจ้าของฟาร์ม ราคาไม่แพง ซื้อกลับไทยได้ไม่ต้องกังวลเหมือนน้ำปลา

แดดร่มลมตกเวลาเย็นๆ แบบนี้ต้องมาที่นี่เลย Chuon Chuon Bistro & Sky Bar ที่แปลว่าร้านแมลงปอ ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาข้างๆ ตัวเมืองฟู้โกว๊ก นั่งรถมาไม่เกิน 5 นาทีจากตัวเมืองก็ถึงแล้ว แนะนำให้ขึ้นมาตั้งแต่ช่วงเย็นเพื่อมารอดูพระอาทิตย์ตกจากบนนี้ อย่าลืมเลือกที่นั่งริมระเบียงพร้อมสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ มาดื่มเคล้ากับบรรยากาศสวยๆ รับรองฟินแน่นอน

แต่ยังไม่ต้องรีบสั่งอะไรทานเยอะนะ เอาแค่ของว่างเบาๆ รองท้องพอแก้หิว เพราะยังมีของเด็ดเป็นมื้อค่ำรออยู่ข้างล่าง

บรรยากาศโรแมนติกมาก

อีกหนึ่งมื้อค่ำที่อาจจะดูบ้านๆ แต่แฝงไว้ด้วยความอลังการจากทั้งขนาดและวัตถุดิบที่ใช้ กับเมนูกุ้งถัง (แต่มาเป็นกาละมัง) จากร้าน Crab House ที่ใครมากินเป็นต้องติดใจทุกราย เพราะรสชาติเผ็ดร้อนถูกใจคนไทยสุดๆ แถมทำมาจากวัตถุดิบชั้นดีไม่ว่าจะเป็นกุ้ง ปลาหมึก หอยแถลงภู่นิวซีแลนด์ ปู้ม้า ขาปูหิมะ และกุ้งล๊อบสเตอร์ นำมาคลุกเคล้ากับเครื่องเทศสูตรลับเฉพาะของทางร้าน ที่หลายต่อหลายคนคอนเฟิร์มว่าอร่อยกว่ากุ้งถังบ้านเราแน่นอน โดยเฉพาะน้ำซอสก้นกาละมังนี่จัดจ้านมาก เอาขนมปังบาแก็ตมาจุ่มทานปิดท้ายแล้วฟินสุดๆ

ตัวพ่อครัวเจ้าของร้านนั้นเป็นคนเวียดนามที่ไปเติบโตในอเมริกา และได้ได้พัฒนาสูตรลับจนสามรถกลับมาเปิดร้านของตัวเองที่เกาะฟู้โกว๊กแห่งนี้ ลูกค้าสามารถเลือกระดับความเผ็ดได้หลายระดับ แต่สำหรับคนไทยแล้วสามารถเลือกระดับสูงสุดได้เลยไม่ต้องกังวล ส่วนราคานั้นอาจจะสูงสักหน่อยเพราะใช้ของดี เริ่มต้นที่ชุดเล็ก Combo 1 ราคา 695,000 ดอง ส่วนเมนูในภาพด้านบนเป็นชุดใหญ่สุด Combo 12 ราคา 3,150,000 ดอง แต่สามารถทานได้แบบ 6 คนอิ่ม แต่ถ้าใครแพ้อาหารทะเลก็ยังมีพวกเมนูไก่ทอดให้สั่งมาทานเล่นๆ รอระหว่างดูเพื่อนๆ กำลังกินได้

สถานที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองฟู้โกว๊กใกล้ๆ กับ Night Market หาได้ไม่ยากแค่เอาชื่อ search จาก Google ก็ขึ้นมาเลย

Check Point สุดท้ายก่อนกลับโรงแรมต้องที่นี่เลย ตลาดกลางคืน หรือ Phu Quoc Night Market ที่ตั้งอยู่บริเวณตัวเมือง เป็นอีกที่ที่มีร้านซีฟู๊ดท้องถิ่นให้นักท่องเที่ยวได้เลือกทานอาหารทะเลสดๆ กันได้ไม่ยาก เพราะมีมากมายหลายสิบร้าน จิ้มเลือกวัตถุดิบกันสดๆ จากตู้หน้าร้านได้เลย หรือถ้าใครทานข้าวเย็นมาแล้วก็ยังสามารถมาเลือกซื้อของที่ระลึกท้องถิ่น เช่นพวกสร้อยไข่มุก พริกไทย เสื้อยืด พวงกุญแจ ของฝากต่างๆ ฯลฯ ได้จากที่นี่อีกด้วย

แต่ที่แอบแปลกใจเลยคือ เมนูขนมหวานยอดฮิตของที่นี่คือ Thailand Ice Cream ที่เหมือนไอศกรีมผัดและม้วนเป็นแท่งๆ ซึ่งที่นี่มีขายหลายร้านมากๆ โดยคนขายก็จะตะโกนและใช้ไม้เคาะส่งเสียงเรียกแขกแข่งกันดังไม่ขาดสาย ยิ่งร้านไหนเสียงดัง คนมุงดูเยอะก็ยิ่งขายดี ลองชิมดูแล้วรสชาติก็รสชาติหวานๆ เหนียวๆ อร่อยดีเหมือนกัน

ร้านค้าต่างๆ ตั้งเรียงรายยาวไปตลอดแนวถนน

One Day Trip

ส่วนอีกหนึ่ง Option ของการเที่ยวของที่นี่ก็คือทริปดำน้ำที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะโดยรอบของเกาะฟู้โกว๊กนั้นมีเกาะเล็กเกาะน้อยอยู่มากมาย ใช้เวลานั่งเรือออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ก็ถึง แถมยังมีความสมบูรณ์ของประการังและปลาทะเลอีกหลายชนิด แต่น่าเสียดายในวันที่เดินทางนั้นฟ้าครื้มไปหน่อย เมฆเยอะอากาศปิด น้ำเลยออกเป็นสีเขียว แต่เมื่อดำลงไปแล้วรู้ได้เลยว่าน้ำใสมาก สามารถสน๊อกเกิ้ลมองเห็นปลาและประการังได้อย่างชัดเจน เพราะสภาพยังสมบูรณ์อยู่ ถ้าแดดดีๆ สีของน้ำคงจะสวยกว่านี้อีกเยอะ ส่วนเกาะที่มีชื่อเสียงก็เช่น Finger Island และ May Rut Island ที่มีชายหาดสวยงาม สามารถขึ้นไปรับประทานอาหารกลางวันที่ทางทัวร์เตรียมมาให้บนเกาะได้ แต่อย่าเรือของเราเก๋หน่อย ตกปลาทะเลสดๆ มาทำอาหารและซาชิมิให้ทานกันบนเรือเลย

ใครที่สนใจก็สามารถซื้อแพ็คเกจทัวร์ได้เลยผ่านทางโรงแรม ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด หรือจะหาทัวร์ทางอินเตอร์เน็ทและติดต่อไปเองก่อนไปเที่ยวก็ได้เช่นกัน โดยทัวร์จะมีรถมารับ/ส่งถึงหน้าโรงแรม ใช้เวลาแค่เพียง 10 นาทีก็ถึงท่าเรือ An Thoi ที่อยู่ทางตอนใต้ของเกาะ จากนั้นก็นั่งเรือต่อไปอีก 1-1.30 ชั่วโมงก็ถึงเกาะต่างๆ เรือลำใหญ่มี 2 ชั้น ไม่น่ากลัว นั่งได้หลายสิบคน พร้อมไกด์ประจำเรือที่พูดภาษาอังกฤษได้ ทัวร์ออกตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้า กลับถึง รร อีกทีก็บ่าย 4.30 ราคาเริ่มต้นหัวละประมาณ 35-40 USD + - ตามแต่แพ็คเกจที่ไป และความหรูหรา

สำหรับใครที่ดูรีวิวจบแล้วอยากที่จะไปตามรอย ก็ขอแจ้งโปรโมชั่นดีๆ กับสิทธิพิเศษสำหรับผู้โดยสารของ Bangkok Airways ที่เข้าพักหรือใช้บริการ ณ โรงแรม JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay เลยแล้วกัน

1) Discover Phu Quoc สิทธิพิเศษสำหรับผู้โดยสารของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เมื่อเข้าพักกับโรงแรม JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay

· ส่วนลดราคาห้องพัก 20% จากราคาที่ดีที่สุด

· สิทธิพิเศษอัพเกรดห้องพักสู่ระดับที่สูงขึ้น

· บริการรถรับส่งไป/กลับระหว่างสนามบินสู่โรงแรม

· ส่วนลด 15% สำหรับบริการอาหาร เครื่องดื่ม สปา และบริการซักรีด

เมื่อทำการสำรองห้องพักภายใน 31 ธันวาคม 2560

หมายเหตุ

· เมื่อทำการสำรองและชำระค่าห้องพักล่วงหน้า / ไม่สามารถคืนเงินได้

· สิทธิพิเศษอัพเกรดห้องพักสู่ระดับที่สูงขึ้น ขึ้นอยู่กับห้องว่างในขณะนั้น

2) Beyond Flying สิทธิพิเศษเมื่อแสดง Boarding Pass ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เมื่อเข้าชมโรงแรม JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay

· ฟรีค่าธรรมเนียมการเช้าชมโรงแรม (ปรกติเสียค่าธรรมเนียม 300,000 VND)

· รับฟรีเครื่องดื่ม Welcome Drink ณ Department of Chemistry

· ส่วนลด 15% สำหรับบริการอาหาร เครื่องดื่ม และสปา

รับสิทธิได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 30 เมษายน 2561

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่ (Discover Phu Quoc - Bangkok Airways Specials)

รับฟรีเครื่องดื่ม Welcome Drink เมื่อแสดง Boarding Pass ของบางกอกแอร์เวย์ส ที่ Department of Chemistry Bar (ภาควิชาเคมี)

บริการรถรับส่งไป/กลับระหว่างสนามบินสู่โรงแรม สิทธิพิเศษสำหรับผู้โดยสารของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เมื่อเข้าพักกับโรงแรม JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay และทำการสำรองห้องพักภายใน 31 ธันวาคม 2560

กว่า 4 วัน 3 คืน ในเกาะฟู้โกว๊ก ในที่สุดก็ถือเวลาที่ต้องเดินทางกลับเสียที โดยเที่ยวบินขากลับนั้นบอกเลยว่าเวลาดีมาก เพราะรับกับเวลาเช็คเอ้าท์ของโรงแรมสุดๆ สามารถนอนชิวตื่นสายๆ ใช้เวลาช่วงเช้าวันสุดท้ายในโรงแรมก่อนเดินทางกลับได้จนถึงเวลาเที่ยงตรง แล้วถึงค่อยนั่นรถมายังสนามบินเพื่อเช็คอินเที่ยวบินขากลับ PG992 ที่ออกเดินทางในเวลา 13:50 น. ได้อย่างพอดิบพอดี (จากโรงแรมใช้เวลามาสนามบินไม่เกิน 15-20 นาที)

ถือเป็นการจบทริปสุดหรูบนเกาะฟู้โกว๊กได้แบบประทับใจมากๆ เพราะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่กับหนึ่งในโรงแรมที่มีพร๊อพอลังการที่สุดโรงแรมหนึ่งของภูมิภาคแถบนี้ ซึ่งมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมากๆ ถ่ายกันมา 4 วัน ก็ยังไม่หมด รวมทั้งความสดใหม่ของเกาะฟู้โกว๊กที่ยังมีอะไรอีกหลายๆ อย่างให้ได้ออกไปค้นหา ถือเป็นเส้นทางบินใหม่ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์สที่น่าสนใจและไม่น่าพลาดจริงๆ เพราะมาได้ง่าย อยู่ใกล้ๆ ลางานไม่กี่วันมาเที่ยวช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ศ ส อา เพื่อชาทพลังให้เต็มที่ ก่อนกลับไปทำงานต่อก็ยังได้ แล้วจะรู้ว่า "ฟู้โกว๊ก" นั้นมีดีสมกับเป็นไข่มุกเม็ดงามของเวียดนามตอนใต้อย่างที่เค้าว่าจริงๆ

 

จองห้องพัก JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay Resort & Spa ราคาพิเศษได้ที่นี่

bottom of page